ฝากประวัติ โพสรับสมัครงานฟรีๆ คลิกเลย!!

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การดูแลน้องน้อย (ที่ไม่เล็กน้อยอย่างที่คิด)

การดูแลจุดสงวนของผู้หญิงอย่างเราๆ หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องง่าย อาบน้ำยังไงก็อาบจุดนั้นได้เหมือนกัน
ก็แค่ล้างน้ำ-ฟอกสบู่จะมีอะไรพิเศษนักหนา โอย ขอบอกนะคะคุณขา ว่าการปล่อยปะละเลยในเรื่องเล็กๆแค่นี้ อาจจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ อย่าง การติดเชื้อ หรือโรคมะเร็งตามมาติดๆ ก็ได้
Photobucket
วันนี้เราเลยมีวิธีการดูแลน้องน้อยของคุณให้ปลอดเชื้อ ปลอดภัย มาฝากกันค่ะ ล้าง ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฉพาะจุดมากมายหลายยี่ห้อจนเลือกใช้ไม่หวาดไม่ไหว แต่ในความเป็นจริงแล้วเพียงแค่ล้างน้องน้อยของคุณด้วยน้ำสะอาดแค่นั้นก็เพียงพอ นอกจากจะเกิดกรณีที่จุดนั้นอับชื้น เหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ก็ควรหันมาพึ่งพาสบู่เหลวอนามัยชนิดที่ไม่ผสมน้ำหอมและแอลกอฮอล์ ส่วนการชะล้างด้วยสายฉีดชำระหรือฝักบัว ให้ฉีดจากบนลงล่าง อย่าฉีดสวนขึ้น เพราะหากน้ำที่ใช้ไม่สะอาดพอแล้วละก็อาจทำให้เกิดอาการช่องคลอดระคายเคืองตามมา สวน สาวๆหลายคนอยากให้จุดนั้นสวยปิ๊งทั้งนอกและใน คิดใช้น้ำยาฆ่าเชื้อสวนล้างช่องคลอดเพื่อความสะอาดเนี้ยบ ความคิดนี้นอกจากจะผิดมหันต์แล้วยังอาจทำให้เกิดอันตรายตามมาไม่รู้ตัว เพราะน้องน้อยของคุณน่ะมีแบคทีเรียชนิดเป็นมิตรที่ชื่อ แลคโตแบซิลไล รักษาความปลอดภัยให้อยู่แล้ว หากคุณสวนล้างช่องคลอดด้วยยาฆ่าเชื้อก็เท่ากับฆ่า ร.ป.ภ. ของตัวเอง คราวนี้ผู้ร้ายตัวจริงก็เริงร่า หนูจุ๋มจิ๋มติดเชื้อราคันคะเยอ เช็ด หลังจากอาบน้ำให้น้องแล้ว ควรใช้ผ้าเช็ดตัวผ้าฝ้ายที่แห้งสะอาดมาซับน้องน้อยให้แห้ง ไม่ควรเช็ดหรือถูเพราะจะทำให้จุดบอบบางเกิดแผลถลอกและระคายเคือง แป้ง แม้การทาแป้งที่ผิวกายจะทำให้รู้สึกแห้งสบาย แต่กับจุดสงวนกลับให้ผลตรงกันข้าม เพราะแป้งอาจเกาะติดเป็นก้อนกับขนอ่อนจนน้องน้อยไม่สะอาด หนำซ้ำยังมีผลวิจัยคอนเฟิร์มอีกว่าแป้งอาจจะถูกดูดเข้าไปภายในช่องคลอด ถึงโพรงมดลูก ท่อนำไข่ และไปตกลงบนรังไข่ ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่มากกว่าคนที่ไม่ได้ทาแป้งซะอีก

น่ากลัวที่สุด! เสื้อของน้อง ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายจะช่วยดูแลน้องน้อยของคุณได้ดีที่สุด เพราะสวมใส่แล้วโปร่งสบาย อากาศถ่ายเท และไม่ทำให้ส่วนนั้นอับชื้น อีกทั้งไม่ควรสวมชุดชั้นในที่รัดแน่นเกินไปด้วย กระซิบบอกนิดนึงว่าตอนนอนน่ะ ปล่อยให้น้องน้อยได้หายใจหายคอด้วยการ No Underwear ก็ได้นะ ไม่ใช้ว่าอยากให้แอบเซ็กซี่ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการอับชื้นจนอาจเกิดเชื้อราต่างหาก วันนั้นของเดือน ช่วงที่มีประจำเดือนถือเป็นช่วงที่น้องน้อยของคุณอ่อนแอ จึงต้องดูแลรักษาความสะอาดเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่การเลือกผ้าอนามัย ผ้าอนามัยที่แบ่งบรรจุเป็นชิ้นๆ นอกจากจะสะดวกต่อการพกพาแล้ว ยังสะอาดและป้องกันการปนเปื้อนได้ดี โดยเฉพาะกับผ้าอนามัยชนิดสอด หากไม่สะอาดและมีเชื้อราหรือแบคทีเรียมาเป็นแขกไม่ได้รับเชิญแล้วล่ะก็

เลือดประจำเดือนก็จะกลายเป็นอาหารชั้นดีแก่เหล่าแบคทีเรีย ทำให้น้องน้อยอักเสบและเกิดโรคภายในตามมา อย่าลืมเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ และไม่ปล่อยให้เลือดประจำเดือนชุ่มแผ่นผ้าอนามัย เพราะนอกจากคุณจะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัวแล้ว เลือดประจำเดือนที่เปื้อนอาจทำให้ผิวหนังที่บอบบางของน้องน้อยระคายเคือง ซึ่งหากเกิดอาการนั้น ครีมสเตียรอยด์อ่อนๆ ประเภท TRIAMCINOLONE ขนาดความเข้มข้น 0.1% จะช่วยแก้ปัญหาได้ แม้จะเป็นวันแดงเดือด แต่การทำความสะอาดส่วนสงวนด้วยน้ำสะอาดก็ยังถือเป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุด และหากมีคราบเลือดประจำเดือนเกาะหรือเปื้อนบริเวณนั้น น้ำอุ่นและสบู่จะเป็นตัวช่วยที่ดี แต่ห้ามฉีดน้ำสวนล้างภายในช่องคลอดเด็ดขาด เพราะช่วงที่มีประจำเดือนปากมดลูกจะเปิด ทำให้เสี่ยงที่น้ำจะไหลย้อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูกทำให้เกิดอาการอักเสบตามมา วันแห่งความสุขสม หากเขาทิ้งคราบรักไว้บนน้องน้อยหลังจากความสุขสม คุณควรใช้น้ำอุ่นและสบู่เหลวอนามัยช่วยในการทำความสะอาด เพราะจะช่วยให้คราบรักของเขาหลุดออกได้โดยง่ายและไม่จับตัวเป็นก้อน

อาหารต้านมะเร็ง

คนที่เป็นมะเร็งควรได้วิตามินมากๆ จากผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ หรือล้างสะอาดแล้วก่อนกิน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้าไปรุกรานร่างกายซ้ำซ้อนขณะที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่
เราล้วนทราบกันอยู่แล้วว่าอาหารที่เรากินเข้าไปแต่ละวันเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของคนเรามีพลังในการต่อสู้ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่กำลังรักษาตัวจากมะเร็ง วิธีการรักษาแผนปัจจุบันอย่างเช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด มักจะส่งผลข้างเคียงให้ร่างกายอ่อนแอลงกว่าปกติหลายเท่า ส่วนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมร่างกายรวมทั้งภูมิคุ้มกันต่างๆ จึงยิ่งต้องทำงานหนักทวีคูณ การดูแลเรื่องอาหารการกินให้เหมาะสม จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายเยียวยาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Photobucket
เมื่อร่างกายเรากำลังอ่อนแอ มันจึงต้องการพลังงานทดแทนเพื่อนำมาใช้ในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและขับเคลื่อนชีวิต ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารที่ให้พลังงานอย่างเพียงพอตามที่ธรรมชาติของร่างกายจำเป็นต้องได้รับ

จากคำแนะนำชองคณะแพทย์จาก The Cleveland Clinic Urological Institute ได้ระบุไว้ว่าคนเป็นมะเร็งควรจะได้รับพลังงานประมาณ 33 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ต่อวัน เช่น หากน้ำหนักตัวปกติอยู่ที่ 50 กก. ก็จะต้องการพลังงานประมาณ 1,650 แคลอรีต่อวัน แต่หากน้ำหนักลดลงมากก็ควรกินอาหารที่ให้พลังงานเพิ่มอีกประมาณวันละ 500 แคลอรี

แพทย์มักจะแนะนำให้คนที่กำลังรักษามะเร็งกินอาหารที่มีโปรตีนสูงๆ (ประมาณวันละ 1.1- 1.32 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.) เพื่อสร้างเสริมและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในขณะที่บางแนวความคิดในการรักษามะเร็งก็ได้ระบุว่าบรรดาเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดง ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ยกเว้นเนย ซึ่งอุดมด้วยโปรตีนและไขมันอาจจะมีส่วนช่วยเร่งความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวและกินให้ได้โปรตีนและพลังงานสูงเต็มที่จึงแนะนำให้คนที่เป็นมะเร็งหันมาเน้นกินอาหารที่ปรุงจากถั่วหรือเมล็ดพืชต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ ทดแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งยังช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายด้วย

สารอาหารที่เป็นประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่งคือวิตามินอย่างที่ ศ.นพ.ม.ร.ว.ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์ เคยเขียนไว้ใน "ยุทธศาสตร์ศึกมะเร็ง ว่าวิตามินเป็นสารอาหารที่ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการควบคุมกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยเปลี่ยนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน เป็นตัวเร่งให้สมรรถภาพทางกายทำงานเต็มที่ ช่วยการเติบโต สร้างพลังชีวิต และทำให้แก่ช้า เราได้วิตามินจากอาหาร เพราะร่างกายผลิตวิตามินเองไม่ได้ แถมบางชนิดไม่สามารถเก็บไว้ใช้นานๆ โดยเฉพาะวิตามินพวกที่ละลายในน้ำได้ (วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ และวิตามินซี) ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำมัน (เอ ดี อี เค) อาจเก็บสะสมไว้ได้บ้าง ถ้าร่างกายขาดวิตามินแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม ทำให้เซลล์ค่อยๆ เสื่อมลงซึ่งหากไม่ได้พลังเสริมในที่สุดแล้วเซลล์ก็จะตาย

นอกจากนี้ในผักและผลไม้ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เช่น ผักใบเขียว เหลือง-แดง จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระจึงทำให้ชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งธาตุเหล็ก โดยควรรับประทานผัก หรือผลไม้หลากหลายชนิดผสมผสานกันไป เพื่อให้ได้สารอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในผักแต่ละชนิดมารวมๆ กัน ไม่ใช่มีบางอย่างมากไปหรือน้อยไป

วิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุด สามารถปราบอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งได้ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน เมื่อตกถึงลำไส้ก็ดูดซึมไปใช้ได้ทันทีโดยอาศัยน้ำดี วิตามินเอเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์น้ำเหลืองจากต่อมไทมัส(ทีเซลล์)ที่เป็นตัวพิฆาตมะเร็ง นอกจากนี้วิตามินเอยังช่วยเสริมผิวหนัง และเยื่อบุผิว ของทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ฯลฯ ให้แข็งแรง ตามสถิติการเกิดมะเร็งพบว่ามะเร็งชอบเป็นกับเซลล์เยื่อบุผิวเหล่านี้ ซึ่งวิตามิน เอ เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้การเจริญของเซลล์เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ควรรับประทานผักใบเขียว เนื้อปลา เนื้อไก่เพื่อให้ได้รับวิตามินเอสู่ร่างกาย

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำได้ที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม ประกอบด้วย วิตามินบี-1 (ไทอะมีน) วิตามินบี-2 (ไรโบฟลาวิน) วิตามินบี-3 (ไนอาซิน หรือ กรดนิโคตินิคตินิค) วิตามินบี-6 (ไพริด็อกวิน) และ มีไบโอติน อินอสสิตอล กรดพาราอะโนมิค-เบนโซอิท (พาบา) วิตามินบี-12 (ไซอะโนบาลามีน) กรดแพนโตทีนิก และกรดโฟลิก เมื่อร่างกายได้รับวิตามินกลุ่มนี้จะไปช่วยบำรุงหัวใจ เร่ง และ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และบางตัวสามารถยับยั้งการขยายตัวของมะเร็งได้ มีมากในอาหารจำพวกถั่ว เนื้อปลา เนื้อเป็ดหรือไก่ต่างๆ

วิตามินซี เป็นวิตามินที่สำคัญมาก เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ คอยทำลายเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวหมาดๆ ได้ดีมาก เป็นตัวปกป้องดีเอนเอไม่ให้ถูกทำลาย และเป็นตัวกระตุ้นสารอินเตอเฟอรอนซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังระงับการเกิด สารไนโตรซามีนที่เป็นตัวก่อมะเร็งในกระเพาะอาหาร ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าวิตามินซีสามารถยับยั้งเอนไซม์ไฮอะลูโรนิเดส มีฤทธิ์ย่อยโปรตีน อันเป็นอาวุธร้ายของมะเร็ง ในการสลายแนวต้านทาน และแพร่กระจายไปรอบตัว มีมากในผลไม้หลายชนิดที่มีรสออกเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว รวมทั้ง ฝรั่ง สาลี่ แอปเปิ้ล

วิตามินอี ละลายในไขมันเหมือนวิตามินเอ เป็นสร้างต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง และเป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อใช้ผสมกับธาตุซีเลเนียม จะมีฤทธิ์เสริมกันในการต้านมะเร็ง นอกจากนั้นวิตามินอียังช่วยระงับการเกิดไนไตรซามีนในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งได้ เราได้รับวิตามินอีได้จากการกินผักใบเขียว น้ำมันปลา น้ำมันรำข้าว และไข่แร่ธาตุต่างๆ มีส่วนช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน ทำให้ร่างกายสามารถย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร และรักษาสมดุลของร่างกายให้มีภาวะเป็นด่างมากกว่าเป็นกรด แร่ธาตุที่คนเป็นมะเร็งควรได้รับที่สำคัญ ได้แก่ ทองแดง แมกนีเซียม สังกะสี ซีเลเนียมที่เมื่อใช้ร่วมกับวิตามินจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อต้านมะเร็ง และยังช่วยชะลอความชราได้

อย่างไรก็ตาม หากต้องการได้รับวิตามินเสริมนอกเหนือจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ควรให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ประจำตัวจะดีกว่า คุณอาจปรึกษานักโภชนาการเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดอาหารในแต่ละมื้อให้มีสารอาหารตามที่ร่างกายควรได้รับครบถ้วนและหลากหลาย และช่วยแก้ปัญหาถ้าหากระหว่างการรักษามะเร็งทำให้เกิดปัญหาผิดปกติในการกินอาหาร อย่างเช่น การที่รู้สึกอิ่มเร็วเกินควร กลืนลำบาก หรือการรับรสชาติที่เปลี่ยนไป รวมทั้งอาจแนะนำถึงอาหารเสริมอื่นๆ ที่ช่วยให้คุณได้รับพลังงานที่จำเป็นอย่างเพียงพอตามสมควร

ที่สำคัญนอกจากอาหารที่จะให้สารอาหารจำเป็นต่อการสู้รบกับมะเร็งแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณวันละครึ่งแกลลอน เพื่อช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำได้ ซึ่งนอกจากน้ำเปล่าแล้ว คุณอาจจะเลือกกินน้ำซุป ดื่มน้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง ก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน โดยเฉพาะหากใครที่มีอาการข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง อย่างเช่น อาเจียน ท้องเสีย ก็ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าทดแทนให้มากยิ่งขึ้น

มะเร็งปากมดลูก มะเร็งร้ายที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด!

มีสาวๆหลายคนที่คิดว่า โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นเรื่องที่ไกลตัว ยังงี้ต้องบอกเลยว่า คิดผิดถนัด
Photobucket
มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคมะเร็งที่พบมากในเพศหญิงวัย 40 ปีขึ้นไป หากประมวลสถิติจากทั่วโลกจะพบว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงติดอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม แต่สำหรับหญิงไทยน่าตกใจกว่า เพราะมะเร็งร้ายชนิดนี้เป็นอันดับแรกของสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิดเลยทีเดียว หากแต่ยังมีสาวๆหลายคนที่คิดว่า โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นเรื่องที่ไกลตัว ยังงี้ต้องบอกเลยว่า คิดผิดถนัด! สาเหตุการเกิด มะเร็งปากมดลูกเกิดได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด
มะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (human papilloma virus) ซึ่งติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ เมื่อได้รับเชื้อไวรัส HPV เชื้อชนิดนี้จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมภายในเซลล์ปากมดลูก จนกลไกการควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ถูกกระตุ้นขึ้น ตามมาด้วยการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์เนื้องอก ซึ่งไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไรก็สามารถเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ทั้งนั้น แต่ที่ส่วนใหญ่พบมะเร็งชนิดนี้ในหญิงสูงอายุ ก็เพราะกว่าเชื้อ HPV จะปรากฏอาการผิดปกติจนกระทั่งนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง อาจใช้เวลานานกว่า 5-10 ปี กลุ่มเสี่ยง หากคุณเข้าข่ายรายละเอียดด้านล่าง รู้ตัวไว้ว่าคุณเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกแล้วล่ะ
มีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย
อายุอยู่ในช่วง 30 - 50 ปี
มีคู่นอนหลายคน
สามีเที่ยวโสเภณี
มีประวัติเคยติดโรคทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อซิฟิลิส หนองใน เริม หูดหงอนไก่
สูบบุหรี่ หรือมีคู่นอนที่สูบบุหรี่
ไม่เคยตรวจภายใน

อาการ จะรู้ได้ยังไงว่าเรากำลังเป็นมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกระยะแรกจะยังไม่ปรากฏอาการใดๆเลย แต่ถ้าเข้าสู่ระยะลุกลาม จะมีอาการตกขาวมีกลิ่น มีลักษณะเป็นหนอง หรือมีลักษณะคล้ายน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด มีเลือดออกทางช่องคลอด ปัสสาวะลำบากหรืออาจปัสสาวะเป็นเลือด นอกจากนี้ ยังอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ ด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ ปอด ตับ และกระดูก หรืออาจมีอาการร่างกายซีด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดประกอบด้วย ดังนั้นเมื่อมีอาการตกขาวผิดปกติ หรือเลือดออกภายหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรปรึกษาแพทย์ วิธีป้องกัน กันไว้ดีกว่าแก้ ก่อนมะเร็งลุกลามในเมื่อเราแทบไม่รู้ตัวเลยหากกำลังมะเร็งระยะแรก สาวๆจึงต้องรู้จักวิธีป้องกันและดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน งดสูบบุหรี่ สังเกตอาการผิดปกติและที่สำคัญก็คือการไปพบแพทย์เพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูกที่เรียกว่า การตรวจแป็ปสเมียร์ (Pap Smear) อย่างน้อยปีละครั้ง โดยสาวๆเวอร์จิ้นควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 30 ปี ส่วนผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วควรตรวจเป็นประจำ รู้จักกับ แป็ปสเมียร์ วิธีตรวจหาเซลล์มะเร็งที่ช่วยชีวิตคุณได้แป็ปสเมียร์ (Pap Smear) เป็นการตรวจภายในชนิดหนึ่ง ที่ใช้ไม้พายเล็กๆ ป้ายบริเวณปากมดลูก เพื่อนำเซลล์ไปตรวจหาความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็ง หรือที่เป็นมะเร็งระยะก่อนลุกลาม ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 5 นาที โดยเกิดความเจ็บปวดใด แต่เนื่องจากยังมีสาวๆ หลายคนที่อายหมอ จึงมีการเสริมวิธีตรวจที่เรียกว่า VIA (Visual Inspection with Acetic Acid) โดยใช้กรดน้ำส้มสายชูความเข้มข้น 3-5% ป้ายบริเวณปากมดลูกเพื่อดูว่าเนื้อเยื่อปากมดลูกมีความผิดปกติหรือไม่ หากเซลล์ผิดปกติจะเห็นว่าปากมดลูกเป็นฝ้าขาว ซึ่งวิธีนี้ให้ความแม่นยำสูงถึง 70% รักษามะเร็งปากมดลูก ยิ่งตรวจพบเร็ว รักษารวดเร็ว หนทางหายขาดก็มีสูงการรักษาความผิดปกติของมะเร็งปากมดลูกระยะแรก สามารถรักษาให้หายได้โดยการผ่าตัด(ซึ่งใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น) หรืออาจใช้เครื่องจี้เย็น เครื่องจี้ไฟฟ้า และการใช้เลเซอร์ ส่วนมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม ก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด การฉายรังสีและการให้ยาเคมีบำบัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค

ปัจจุบันในหลายประเทศได้อนุมัติให้จดทะเบียนใช้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก "Gardasil" ที่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 70 เปอร์เซ็นต์สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน แต่จะไม่มีผลใดๆ หากฉีดในขณะที่ติดเชื้อแล้ว คาดว่าในประเทศไทยจะเตรียมวางจำหน่ายวัคซีนนี้ในโรงพยาบาลราวกลางเดือน พ.ค

Diet ง่ายๆ สไตล์ญี่ปุ่น

สาวญี่ปุ่นมีเคล็ดลับอย่างไรในการรักษาทรวดทรงองค์เอว คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหารของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง

เคยสังเกตกันไหมว่า สาวญี่ปุ่นนอกจากจะคงความโนะเนะน่ารักของวัยใสไว้ได้จนกระทั่งเข้าวัยกลางคนแล้ว เธอยังคงทรวดทรงงดงามอ้อนแอ้นตามแบบหญิงเอเชีย ไม่อ้วนเผละไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หรือพกห่วงยางไว้ให้อุ่นใจยามเตร็ดเตร่แถวชายทะเลเหมือนสาวประเทศอื่นๆ พวกเธอมีเคล็ดลับอย่างไรในการรักษาทรวดทรงองค์เอวให้อ้อนแอ้นอรชรเหมือนสาวแรกรุ่นตลอดเวลากันแน่ คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหารของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง เคล็ดลับที่จะนำเสนอนั้น นอกจากจะ ใช้ได้กับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังปรับใช้ได้กับอาหารไทยอีกด้วย

*เริ่มจากการเลือกถ้วยชามชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้วยชามที่เหมาะสมกับการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือถ้วยชามที่มีสีออกแนวเอิร์ธโทนอย่างเช่น ขาว ดำ เทา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ความลงตัวของศิลปะในการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ

*นอกจากนั้น ถ้วยชามที่ใช้ควรมีขนาดเล็ก ไม่ควรใช้จานเปลใหญ่ในการตักอาหาร เพราะเป็นหลักจิตวิทยาว่า ถ้าคนเห็นอาหารเต็มชาม แม้ชามจะขนาดเล็กกว่าปกติ จะทำให้คนเราอิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรลดขนาดภาชนะบนโต๊ะอาหารลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากให้ฮิปโปโปเตมัสเข้าใจว่าคุณเป็นผู้ให้กำเนิด

*การใช้ตะเกียบพุ้ยข้าว จะทำให้คุณกินข้าวได้ช้าลง และปริมาณน้อยลง เนื่องจาก สมองรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณสิบนาที เมื่อคุณทานช้าลง ระยะเวลาสิบนาทีของการประสานงานระหว่างสมองกับร่างกายจึงไม่มากพอทีจะทำให้คุณ ยัดทะนานจนกระทั่งจุกนั่นเอง

*การกินอาหารหลากหลายประเภทพร้อมกับข้าว จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายของพลังงานจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานตลอดเวลา เพราะร่างกายจะคิดว่า มีอาหารชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรใช้ภาชนะขนาดเล็กตักกับข้าวหลากหลายเพื่อรับประทานในหนึ่งมื้อมากกว่าตักอาหารชนิดเดียวใส่ชามอ่าง แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่อ้วนไม่เหมือนกันแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Japanese Women Dont Get Old or Fat: Secrets of My Mothers Tokyo Kitchen โดย Naomi Moriyama

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กินอย่างไรให้น้ำหนักลด 1 : ความอ้วนมาจากไหน

ปากกับใจตรงกัน เมื่อไหร่ แล้วคุณไม่รู้จักยับยั้ง รับรอง ความอ้วน คงไม่หนีไปไกลจากตัวคุณแน่ ก็เพราะตามใจปาก ไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน น้ำหนักก็เลยขึ้นเอาๆ สุดท้ายก็เลยต้องศึกษาหาโปรแกรมการลดน้ำหนักมาปรับน้ำหนักตัวเองลง
Photobucket
ในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ มีทั้งสื่อที่เป็น วีดีโอ ซีดี วีซีดี หนังสือ สถาบันลดน้ำหนักซึ่งถ้าลองทำอย่างจริงจังตั้งใจแล้วรับรองว่าได้ผลแน่นอน อย่างเราเป็นประชาชนคนอ้วนธรรมดาๆ ถ้าคิดจะลดน้ำหนักก็ควรเลือกโปรแกรมการลดน้ำหนักที่เป็นตัวเองจริงๆ หรือถ้าต้องเสียค่าใช้จ่ายก็ควรจะเสียอย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ปลอดภัยได้ผลมากที่สุด ก่อนอื่นถามใจคุณดูก่อนว่าเอาแน่ไหม
ว่ากันว่าการลดน้ำหนักให้ได้ผลนั้น ต้องมีความตั้งใจจริง สำคัญที่สุด นิสัยคนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยเคร่งวินัยกับตัวเอง หวังพึ่งคนอื่นเสียมาก การลดน้ำหนักจึงเป็นงานท้าทายที่คุณจะต้องสร้างวินัยและเคร่งครัดกับตัวเอง ในการต่อสู้กับความเคยชินโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน
หัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักคือ การควบคุมอาหารให้ถูกวิธี ห้ามอดอาหาร แต่ให้ เลือก หรือจำกัดชนิดอาหารที่มีผลต่อน้ำหนัก เพิ่มการออกกำลังกายและต้องทำสม่ำเสมอ หากต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก ต้องใช้ตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
ในชีวิตจริงเราใช้เครื่องทุ่นแรงกันตลอดเวลา พลังงานจึงถูกใช้น้อย ส่วนที่เกินจึงสะสมไว้ในร่างกาย เวลาที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะเลือกว่าต้องใช้พลังงานจากน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นอาหารที่มาจากแป้ง น้ำตาล ที่กินเข้าไป หรือร่างกายจะนำไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ออกมาใช้เป็นพลังงาน ถ้าใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารเพิ่มเติมก็จะทำให้ร่างกายผอมลง ดังนั้นกิจกรรมต่างๆ ที่ทำควรมากกว่า 15 นาที เพื่อให้ร่างกาย มีการใช้ไขมันที่สะสมอยู่ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการลดน้ำหนัก แต่ถ้าคุณได้ออกกำลังเกินกว่า 30 นาที แต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็มีส่วนช่วยกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูงเป็นรายการแถมมาจากน้ำหนักที่ลดลง
การลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ในทางปฏิบัติอาจจะไม่ง่ายและไม่ทันใจ แต่วิธีลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและได้ผล คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินซึ่งให้ผลระยะยาว ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความเต็มใจที่จะเปลี่ยนนิสัยการกิน ควบคุมอาหาร การใช้พลังงานร่วมกับการออกกำลังกายด้วย
Photobucket
ความอ้วน มาจากไหน

จะเห็นว่าคนที่สามารถรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานปกติได้ มักจะเป็นผู้ที่มีการควบคุมพฤติกรรมการกิน และมีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แต่ผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มๆ ลดๆ ที่เรียกว่า โยโย นั้น หลังจากเลิกควบคุมอาหารแล้ว มักจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าลด เนื่องจากพยายามลดน้ำหนักแต่ทำได้ไม่สม่ำเสมอ ความจริงแล้วในช่วงแรกที่น้ำหนักลดส่วนใหญ่จะเป็นส่วนของน้ำในร่างกาย ระยะต่อมาถึงจะเป็นส่วนไขมัน ส่วนที่พลอยลดไปกับไขมันด้วยโดยไม่ตั้งใจคือกล้ามเนื้อซึ่งเป็นโปรตีน หลังจากนั้นน้ำหนักจะคงที่ หากไม่ปฏิบัติต่อจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นคือ ไขมันไม่ใช่โปรตีน การลดน้ำหนักที่ถูกต้องนั้นจึงต้องออกกำลังกายร่วมกับการควบคุมอาหาร เป็นการเพิ่มการป้องกันไม่ให้โปรตีนในกล้ามเนื้อลดลง การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อทำให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันมากกว่าพลังงานจากโปรตีนในกล้ามเนื้อ และเท่ากับเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายด้วย
อาหารที่ใช้ควบคุมน้ำหนัก ต้องการลดปริมาณไขมันลงซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหากคิดน้ำหนักของสารอาหารหลัก ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แล้วไขมันจะให้พลังงานมากเป็น 2 เท่าของอาหารประเภทโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต คือ ไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9 แคลอรีคาร์โบไฮเดรต1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี และโปรตีน 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรีเช่นกัน
พลังงานจากไขมันในอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันในร่ายกายได้ง่ายกว่าพลังงานจากโปรตีน และ คาร์โบไฮเดรต กรณีที่ร่างกายได้รับพลังงานเกิน ไม่ว่าจะเป็นอาหารไขมัน โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต พลังงาน 2 ส่วนที่เกินนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ตามหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก แต่ประสิทธิภาพการสะสมไขมันจาก อาหารไขมันนั้นมีมากกว่า ดังนั้นในบางคนการลดอาหารไขมันที่อยู่ในอาหารจะช่วยลดพลังงานลงได้โดยไม่จำเป็น ต้องลดปริมาณอาหาร ถ้าอาหารนั้นเป็นอาหารที่มีไขมันต่ำและมีเส้นใยอาหารสูงในแต่ละมื้อ
การลดปริมาณไขมันในอาหารไม่ง่ายนัก เพราะคนที่รับประทานอาหารประเภทไขมันมากมักจะชอบและ คุ้นเคยกับรสชาติ ฉะนั้น ในการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคจากที่เคยบริโภคอาหารที่มีไขมันมาก ๆ มาเป็นอาหารที่มี ไขมันน้อยลง น้อยลง จึงควรจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นวิธีที่จะได้ผลมากกว่าการที่จะงดไขมันทันที เนื่องจากต้อง อดทนใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับรสชาติที่ไม่คุ้นเคย

กินอย่างไรให้น้ำหนักลด 2 : กุญแจสำคัญในการลด

ลดปริมาณอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง แต่ละมื้อที่รับประทาน เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง

Photobucket

กุญแจสำคัญในการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง

*รับประทานอาหารครบทุกหมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่ โดยเลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ไม่ใช่งดอาหารหมู่ไขมันเลย เพราะวิตามินเอ ดี อี เค ยังต้องการน้ำมันช่วยในการดูดซึม

*หากทำการลดน้ำหนัก ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่สม่ำเสมอ อาจใช้เวลานานในกรณีที่ต้องลดน้ำหนักหลายกิโลกรัม ยกเว้นแพทย์จะเห็นสมควรให้ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ลองคำนวณพลังงานรวมของอาหารค่างๆ ที่กินลงไปในหนึ่งวันดูว่าคุณได้พลังงานเท่าไหร่จะช่วยกระตุ้นให้คุณลดอาหารลงเองโดยอัตโนมัติ

*อัตราการลดน้ำหนัก ประมาณ 0.5 ก.ก./สัปดาห์ การที่จะลดน้ำหนักให้ได้สัปดาห์ละ 0.5 ก.ก. นั้น จะต้อง รับประทานอาหารน้อยลงประมาณวันละ 500 แคลอรี่ คุณลองตัดรายการอาหารที่รับประทานอยู่ลงบ้างสิ

*ควรตั้งเป้าหมายน้ำหนักที่ต้องการจะลดอย่างเหมาะสม และมีการบันทึกน้ำหนัก สัดส่วนของร่างกายทุกสัปดาห์

*ควรมีการวางแผนการรักษาน้ำหนักตัวเมื่อการลดน้ำหนักสิ้นสุดลง นั่นคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อ รักษาน้ำหนักตัวไว้ในระยะยาว รวมถึงการควบคุมการกินอาหาร ซึ่งอาจต้องเพิ่มอาหารขึ้นเล็กน้อย เพื่อมิให้น้ำหนัก ลดลงมากกว่าที่ตั้งใจไว้

หลักการลดน้ำหนัก

1. ลดปริมาณอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง แต่ละมื้อที่รับประทาน เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง อาหารที่มีไขมันสูงหมายถึง อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน ไขมัน มาการีน เนื้อสัตว์ติดมัน-หนัง เนย กะทิ ซึ่งดูด้วยตาแล้วอาจบอกไม่ได้ว่าใช้น้ำมันมากหรือไม่ แต่ให้สังเกตลักษณะอาหารที่มีความมันวาวเนื้อสัมผัสนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง หรือบางอย่างจะกรอบ ตัวอย่างเช่น ผัดซีอิ้วใส่ไข่ ผัดไทย หอยทอด พาย คุกกี้ เป็นต้น ควรเลี่ยง

2. ระดับพลังงานไม่ควรต่ำเกินไป เพื่อให้ร่างกายยังคงได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ระดับพลังงานในการลดน้ำหนักที่ต่ำสุดและปลอดภัยใน 1 วัน คือ ต้องกินอาหารให้ได้พลังงาน 1200 แคลอรี่สำหรับผู้หญิง และ 1500 แคลอรี่สำหรับผู้ชาย อาหารสำหรับช่วงลดน้ำหนัก
ข้อแนะนำ
นม : เลือกนมพร่องไขมัน, นมไม่มีไขมัน, โยเกิร์ตรสจืด
เนื้อสัตว์ 1 ส่วน : หมายถึง เนื้อสัตว์ชิ้นขนาดกล่องไม่ขีดไฟ (เล็ก) หรือสับละเอียดขนาด 2 ช้อนโต๊ะ หรือ ลูกชิ้น 5 - 6 ลูก หรือหั่นบางๆ 5 - 6 ชิ้น หรือไข่ 1 ฟอง หรือกุ้งขนาด 2 นิ้ว 4 - 5 ตัว หรือปลาทู ½ ตัว
ข้าว 1 ส่วน : : สามารถเลือกกินขนมปัง 1 แผ่น หรือข้าวสุก 5 ช้อนโต๊ะ หรือข้าวต้ม 2 ทัพพี หรือขนมปังกรอบ 2 แผ่น
ผลไม้ 1 ส่วน : เช่น มะละกอสุก 8 ชิ้นเล็ก หรือมะม่วงดิบ 3 ชิ้นยาว หรือลูกตาล 3 ลอน หรือสับปะรด 8 ชิ้นเล็ก หรือฝรั่ง 1 ผลเล็ก หรือแอปเปิ้ล 1 ผลเล็ก
ผัก : ควรเลือกผักที่มีสีเขียวเข้ม สีแดง สีส้ม สีเหลือง
ไขมัน : ควรเลือกใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว หรือบางมื้ออาจใช้เนย ½ ก้อนเล็ก หรือหัวกะทิ 2 ช้อนกินข้าว แทนไขมัน 1 ช้อนชา

3. เพิ่มกิจกรรมของการใช้พลังงานของร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญของการลดน้ำหนัก โดยใช้หลักของ ความสมดุลในการกิน ถ้ากินมากใช้พลังงานมาก-น้ำหนักคงที่ ถ้ากินมากใช้พลังงานน้อย-น้ำหนักเพิ่ม ถ้ากินน้อยใช้พลังงานมาก-น้ำหนักลด นั่นคือความสำเร็จในการรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนได้ตลอดไป
Photobucket
ที่มา : Nutritional Aspects of Human Physical and Athletic Performance

กินอย่างไรให้น้ำหนักลด 3 : เทคนิคควบคุมน้ำหนัก

สำหรับการกินเพื่อลดน้ำหนักนั้น ลองมาดูเทคนิคขั้นสุดท้ายที่ช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพกันค่ะ
Photobucket

เทคนิคช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. กินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และเป็นเวลา ควรงดอาหารว่างระหว่างมื้อ ถ้าหิวให้ดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ให้พลังงาน เช่น น้ำเปล่า น้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำใบเตย (ไม่ต้องเติมน้ำตาล) จะลดความรู้สึกหิวลงได้
2. ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้กินมากขึ้นในมื้อต่อไป
3. ปริมาณอาหารควรจัดให้สมดุลตลอดวัน ทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น โดยเฉพาะควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงกลางคืน
4. ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานไม่น้อยเลยทีเดียว คือ 1 กรัมให้พลังงาน 7 แคลอรี่ และแอลกอฮอล์กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร แอลกอฮอล์ยังให้พลังงานเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้สารอาหารอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย
5. ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองในการดื่มเครื่องดื่มโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวาน เนื่องจากน้ำตาลกระตุ้นให้เกิดการรับประทานมาก เช่นเดียวกับสารที่ให้รสหวาน
6. ไม่ควรรีบกินอาหาร ควรเคี้ยวช้าๆ การกินเร็วจะทำให้กินอาหารมากเกินอัตรา
7. ควรคำนึงอยู่เสมอว่า การกินทุกครั้งไม่ใช่เพราะความอยากอาหาร แต่กินเพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานและสารอาหารในการดำรงชีวิต อันก่อให้เกิดสุขภาพดี

Photobucket
ตัวอย่างเมนูอาหารใน 1 วัน เพื่อควบคุมน้ำหนัก
ลองเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย เมนูตัวอย่างนี้เพื่อให้คุณได้เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำมาแทนอาหารที่คุณกินอยู่ประจำที่อาจมีไขมันสูงกว่า

Photobucket
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินเป็นสิ่งยั่งยืนที่ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องของการกินอาหารควรต้องมีการยืดหยุ่นบ้าง เช่นหากมื้อใดกินมาก มื้อต่อไปต้องลดลง เพื่อให้เกิดความสมดุลของพลังงาน จะเลือกกินอะไรต้องใช้เหตุผลเหนือจิตใจ ค่อยทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน ต้องใช้ความอดทน กิจกรรมประจำวันต้องกระฉับกระเฉง และควรระลึกอยู่เสมอว่า ไม่มีอาหารหรือยาชนิดใดที่สามารถลดน้ำหนักของคุณลงได้ตลอดกาล และอย่าเชื่อในสิ่งที่เหลือเชื่อ ขอจงเชื่อมั่นในตัวเองเป็นดีที่สุด

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

4 วิตามินกับอันตรายหากบริโภคเกิน

คุณได้รับวิตามินมากเกินไปหรือไม่?

ใครหลายคนอาจเคยตั้งข้อสงสัย หรือถ้าหากคุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่เลือกรับประทานอาหารเสริม ประเภทวิตามินเป็นประจำ คุณทราบหรือไม่ โทษภัยของการกินวิตามินมากเกินไป จะมีผลกระทบต่อร่างกายของเรามากน้อยเพียงใด

1. วิตามินเอ
แหล่งอาหาร : เนื้อปลา น้ำมันตับปลา ผักผลไม้สีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีเขียวเข้ม เช่น แครอท มะละกอ กล้วย บร็อกโคลี
ผลของการได้รับมากเกินไป : อาเจียน ผมร่วง ผิวหนังแห้งตกสะเก็ด ตับ กระดูก และการมองเห็นถูกทำลาย นอกจากนั้นยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการพิการของทารกในหญิงมีครรภ์
ค่าสารอาหาร :
- Thai RDI* : 800 ไมโครกรัม RE
- อาหารปกติ : 252 - 6,050 ไมโครกรัม
- วิตามินเสริมบางยี่ห้อ :1,500 ไมโครกรัม
- ค่าสูงสุดที่ปลอดภัย : 1,500 ไมโครกรัม
Photobucket
2. วิตามินบี 6
แหล่งอาหาร : กล้วย ถั่วเหลือง เนื้อปลา และข้าวซ้อมมือ
ผลของการได้รับมากเกินไป : มีอาการเดินเซ มือและเท้าชา และส่งผลให้ประสาทกล้ามเนื้อแขนขาถูกทำลาย
ค่าสารอาหาร :
- Thai RDI : 2 มิลลิกรัม
- อาหารปกติ : 2-3.9 มิลลิกรัม
- วิตามินเสริมบางยี่ห้อ : 250 มิลลิกรัม
- ค่าสูงสุดที่ปลอดภัย : 14 มิลลิกรัม

3. วิตามินซี
แหล่งอาหาร : ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง และผักสด
ผลของการได้รับมากเกินไป : ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย ท้องอืด และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นนิ่วในไตได้ แต่ถ้าหยุดรับประทานอาการเหล่านี้จะหายไป
ค่าสารอาหาร :
- Thai RDI : 60 มิลลิกรัม
- อาหารปกติ : 64 - 160 มิลลิกรัม
- วิตามินเสริมบางยี่ห้อ : 1,000 มิลลิกรัม
- ค่าสูงสุดที่ปลอดภัย : 1,000 มิลลิกรัม

4. วิตามินอี
แหล่งอาหาร : จมูกข้าว น้ำมันพืช ผักใบเขียว ถั่ว และธัญพืช
ผลของการได้รับมากเกินไป : ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว กล้ามเนื้อล้า แน่นท้อง และท้องร่วง และถ้าร่างกายมีวิตามินอีสูงมาก อาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอได้
ค่าสารอาหาร :
- Thai RDI : 15 มิลลิกรัม
- อาหารปกติ : 8.5 - 18 มิลลิกรัม
- วิตามินเสริมบางยี่ห้อ : 670 มิลลิกรัม
- ค่าสูงสุดที่ปลอดภัย : 560 มิลลิกรัม
Photobucket
* Thai RDI (Thai Recommended Daily Intakes) คือ ค่าสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยคิดจากความต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี วิตามินเสริมจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพและปลอดภัย ถ้ารู้จักกินแต่พอดี สำหรับในชีวิตประจำวัน ถ้าเรารู้จักกินผักผลไม้สดๆ ได้อย่างเพียงพอแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งวิตามินแต่ประการใดค่ะ

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ควรรับประทาน....แคลเซียมเสริมหรือไม่?

ประโยชน์ที่ได้โดยเฉพาะอุบัติการณ์การเกิดกระดูกหักไม่ได้มากเท่ากับที่เราคาดหวังเอาไว้
Photobucket
เมื่อไม่นานมานี้มีการศึกษาทางการแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงประสิทธิภาพของการรับประทานอาหารเสริมชนิดหนึ่ง คือ แคลเซียม ว่าให้ประโยชน์ตามที่เรามีความเชื่อกันหรือไม่? โดยติดตามคนกลุ่มนี้นานถึงเจ็ดปี ในผู้หญิงจำนวนถึง 36,000 ราย ซึ่งครึ่งหนึ่งได้รับแคลเซียมเสริม และอีกครึ่งหนึ่งได้รับยาหลอก (placebo) หากดูถึงชาวอเมริกันเองซึ่งมีข้อมูลที่มากและน่าเชื่อถือ พบว่าประชากรจำนวนถึงสิบล้านคนที่มีปัญหาของโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) โดย 80% เป็นผู้หญิง ยังไม่หมดแค่นั้น มีประชากรอีก 34 ล้านคนมีปัญหาเรื่องของ กระดูกบาง (osteopenia) เป็นภาวะที่มีความหนาแน่นของกระดูกลดลงกว่าปกติ ซึ่งจะเป็นต้นกำเนิดของปัญหากระดูกพรุนในที่สุด คนอเมริกันเองมีการซื้อหาแคลเซียมมารับประทานสูงถึง 1 พันล้านดอลล่าในปี 2004 มากกว่าอาหารเสริมทุกชนิดที่มีจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
การรับประทานแคลเซียมและวิตามินดีได้รับการแนะนำมาเป็นเวลานานจากทางการแพทย์ นักวิจัยพบว่าขณะที่หญิงในวัยหมดประจำเดือนได้ประโยชน์จากการรับประทานแคลเซียมและวิตามินดีทุกวัน จากการศึกษาไม่ได้แสดงให้เห็นประโยชน์ที่ได้อย่างชัดเจนจากการรับประทานแคลเซียมเป็นอาหารเสริม ทำให้หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ถึงกับจั่วหัวเรื่องในฉบับหนึ่งว่า Big Study Finds No Clear Benefit of Calcium Pills ถอดความได้ว่า การศึกษาโครงการณ์ใหญ่ ไม่พบประโยชน์อย่างชัดเจนจากการรับประทานแคลเซียมเสริม
อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยนี้ยังมีข้อดีของการรับประทานแคลเซียมในบางแง่มุม เช่น ผู้หญิงที่รับประทานแคลเซียมตามที่กำหนดอย่างน้อยที่สุด 80% จะสามารถลดการหักของกระดูกสะโพกลงได้ 29% ในผู้หญิงที่อายุมากกว่า 60 ปี ที่ได้รับแคลเซียม (รวมทั้งคนที่ได้รับแคลเซียมไม่ครบถ้วนตามที่กำหนด) มีการหักของกระดูกสะโพกลดลง 21% และในทั้งกลุ่มที่ทำการศึกษา พบมีความหนาแน่นของกระดูก (bone density) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเพียงเล็กน้อย (1%)
จุดอ่อนของการศึกษานี้ คือ เนื่องจากทำการศึกษายาวนานถึง 7 ปี ทำให้การรับประทานแคลเซียมเป็นไปอย่างไม่สม่ำเสมอในกลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวนหนึ่ง บางคนก็ลืมเลือนไม่ให้ความสนใจ เมื่อครบ 7 ปีพบว่ามีเพียง 76% เท่านั้นที่ยังรับประทานอยู่บ้าง และพบว่ามีเพียง 59% ที่ยังรับประทานแคลเซียมมากกว่า 80% ของที่กำหนด ผู้หญิงที่แม้ว่าจะไม่ได้รับแคลเซียมตามกำหนดยังคงอยู่ในการประเมินผลโดยภาพรวม ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ได้รับประโยชน์จากการได้รับประทานแคลเซียม ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ส่งผลทำให้การศึกษาในภาพรวมมีผลดีขึ้นเพียงเล็กน้อยในกลุ่มที่ได้รับยาแคลเซียม ทำให้มีหลายคนให้ความเห็นว่าการให้แคลเซียมในการศึกษานี้ไม่ค่อยได้ผลประโยชน์ชัดเจนเท่าไร น่าจะเป็นเพราะคนที่เข้าร่วมวิจัยไม่ได้รับประทานแคลเซียมอย่างเพียงพอ ผู้หญิงทั้งสองกลุ่ม (กลุ่มที่ได้รับแคลเซียมและกลุ่มที่ได้รับยาหลอก) สามารถได้รับแคลเซียมเสริมของตัวเองได้ ทั้งจากการรับประทานเสริมและจากอาหาร ทำให้กลุ่มที่ได้รับยาหลอก ได้รับปริมาณแคลเซียมสูงถึง 1,150 มิลลิกรัมต่อวัน ในขณะที่แคลเซียมที่ให้ในการทดลองนี้คือ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และนอกจากนี้บางคนจากทั้งสองกลุ่มยังได้รับการจ่ายยารักษากระดูกพรุน ทำให้ชะลอความเสื่อมของกระดูกลงได้ ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ลดความแตกต่างของกลุ่มที่ได้รับแคลเซียมกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก
ข้อพึงตระหนักสำหรับการรับประทานแคลเซียมเสริมคือ ทำให้เพิ่มโอกาสการเกิดนิ่วในไตสูงขึ้น 17% เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า ไม่มีอะไรดีเลิศไม่มีที่ติ ทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง ขอให้เลือกใช้อย่างเหมาะสมก็จะเกิดประโยชน์ได้ครับ อาจเกิดคำถามว่าแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรดี? คำแนะนำก็คือ ยังควรจะรับประทานแคลเซียมเสริม จาก WHI (Womens Health Initiative) ได้แนะให้รับประทานแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1,000-1,500 มิลลิกรัมร่วมกับวิตามินดี 400-800 IU (เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียม) เป็นการป้องกันกระดูกผุและกระดูกหัก แต่อย่างไรก็ตามต้องรู้ว่าปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อกระดูกพรุนก็ยังมีอยุ่ ยกตัวอย่างเช่น การที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน เป็นชาวเอเซีย มีโครงร่างกระดูกเล็ก (น้ำหนักน้อยกว่า 127 ปอด์น) มีประวัติโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) หรือกระดูกคด (scoliosis) ในครอบครัว หรือมีประวัติเคยกระดูกหักมาก่อน
การเสริมแคลเซียมไม่เพียงพอแต่ต้องมีการเพิ่มการออกกำลังกายโดยให้กระดูกได้รับน้ำหนักหรือแรงกระแทกจะทำให้การป้องกันกระดูกผุมีประสิทธิภาพมากขึ้น การออกกำลังกายเพียงการเดินหรือการว่ายน้ำจะไม่ค่อยช่วยเรื่องกระดูกมากนัก แต่ถ้าเดินโดยยกน้ำหนักไปด้วยจะเป็นการช่วยที่ดีกว่า นอกจากนั้นยังควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง เช่น โยเกิร์ต (ไขมันต่ำ) 1 ถ้วยมีปริมาณแคลเซียม 415 มิลลิกรัม ปลาซาดีน 3 ออนซ์ มี 324 มิลลิกรัม นมพร่องมันเนย 1 ถ้วย มี 302 มิลลิกรัม ผักขม 1 ถ้วยมี 240 กรัม ปลาแซลมอน 3 ออด์น มี 181 มิลลิกรัม เต้าหู้ 4 ออนซ์ มี 138 มิลลิกรัม ถั่วอัลมอนด์ 1 ออนซ์ มี 71 กรัม ผักบร็อคโคลี 1 ถ้วย มี 42 กรัม เป็นต้น
ควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อในภาพรวมด้วย เช่น เมื่อคนเราอายุมากขึ้นก็จะเริ่มมีการสูญเสียและมีความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ของกระดูกด้วย วิถีการใช้ชีวิตก็ย่อมต้องมีผลสัมพันธ์กันแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การออกกำลังกาย ล้วนมีผลต่อการทำลายเซลล์กระดูกให้เร็วขึ้นด้วย อาหารประเภทเนื้อสัตว์ เกลือ และไขมัน ทำให้มีการสูญเสียแคลเซียมไปกับปัสสาวะมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการเกิดนิ่วในไตด้วยเช่นกัน ในขณะที่อาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ เนย ชีส ไอสครีม ทำให้ระดับโคเลสเตรอลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งระดับโคเลสเตอรอลที่สูงจะกระตุ้นกระสลายตัวของกระดูกได้
หลายคนอาจอยากทราบว่า แล้วกาแฟมีผลต่อภาวะแคลเซียมในร่างกายหรือไม่? มีนะมีแน่ครับ แต่มากแค่ไหนลองฟังดู กาแฟมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียม แต่ในปริมาณที่ไม่มากนัก หากจะคิดออกมาให้เห็นภาพ ก็คือ กาแฟหนึ่งถ้วยจะมีผลต่อการสูญเสียแคลเซียมไปประมาณ 2-3 มิลลิกรัม ซึ่งสามารถจะทดแทนได้ด้วยการดื่มนมเพียงหนึ่งช้อนโต๊ะเท่านั้น บรรดาคอกาแฟคงจะสบายใจขึ้นนะครับ ส่งท้ายด้วยเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับแคลเซียมครับ
ส่วนใหญ่ของแคลเซียมในร่างกายมนุษย์อยู่ในกระดูกและฟัน (ร้อยละ 99)
วิตามินดี จะเป็นตัวสำคัญในการรักษาระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด เนื่องจากเป็นตัวสำคัญในการช่วยการดูดซึม
ผู้หญิงจะมีแคลเซียมสูงถึง 90% เมื่ออายุ 18 ปี ในขณะที่ผู้ชายอายุ 20 ปี โดยที่ทั้งสองเพศจะมีระดับแคลเซียมในร่างกายสูงสุดเมื่ออายุ 30 ปี
หลังจากหมดประจำเดือนแล้ว 5-7 ปี ผู้หญิงจะมีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกประมาณ 3-5% ต่อปี ซึ่งอาจสูงถึง 20% ของมวลกระดูกทั้งหมด
ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 19-50 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม เมื่ออายุมากกว่า 50 ปี ต้องการ 1,200 มิลลิกรัม คำแนะนำคือต้องรับประทานเสริมวันละ 1,300-1,500 มิลลิกรัม

อาหารเสริมพลังงาน

ในภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารที่ให้พลังงานไม่เพียงพอ หรือไม่สามารถเผาผลาญอาหารได้เต็มที่จะทำให้อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย

Photobucket
คนเราจำเป็นต้องใช้พลังงานตลอดเวลาแม้กระทั่งในเวลาหลับ ในขณะนอนหลับร่างกายต้องใช้พลังงานในการหายใจ การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ การควบคุมอุณหภูมิ การกำจัดของเสียออกจากร่างกาย และการสร้างเนื้อเยื่อสำหรับการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่ถูกทำลายไป ในขณะที่ตื่นร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นสำหรับการเคลื่อนไหว เช่น ยืน เดิน วิ่ง คุย กิน และย่อยอาหาร
ร่างกายใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานหลัก ถ้าร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอก็จะนำโปรตีนและไขมันมาใช้เป็นพลังงาน อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงได้แก่ ข้าว แป้ง ขนมปัง น้ำตาล เผือก มัน เป็นต้น อาหารเหล่านี้จะให้พลังงานแก่ร่างกายได้จะต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่การย่อยในทางเดินอาหารจนได้โมเลกุลขนาดเล็กเรียกว่ากลูโคส หลังจากนั้นกลูโคสจะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อนำไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงานออกมา ซึ่งการเผาผลาญกลูโคสให้เป็นพลังงานนี้จะต้องผ่านกระบวนการต่างๆ อีกหลายขั้นตอน แต่ละขั้นตอนจะต้องใช้เอนไซม์ วิตามินและเกลือแร่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญนี้
วิตามินและแร่ธาตุที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานได้แก่ วิตามินบี1 บี2 ไนอาซิน ไบโอติน กรดแพนโทธินิก เหล็ก และทองแดง การขาดสารอาหารเหล่านี้จะทำให้ร่างกายเผาผลาญกลูโคสให้เป็นพลังงานได้ช้าลง ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลียเหมือนกับการขาดพลังงานได้ คนที่รับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมและรับประทานอาหารหลากหลายน่าจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุดังกล่าวเพียงพอกับความต้องการ เช่น วิตามินบี1 มีมากในเนื้อหมู ข้าวซ้อมมือ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ส่วนข้าวขาวหรือข้าวขัดสีแล้วมีวิตามินบี1 น้อยกว่าข้าวซ้อมมือ เนื่องจากวิตามินบี1 ส่วนใหญ่จะอยู่ที่จมูกข้าวและรำข้าว นอกจากนี้อาหารบางชนิด เช่น ปลาร้าดิบ ชาและกาแฟต่างมีสารทำลายวิตามินบี1
ส่วนอาหารที่มีวิตามินบี2 สูงได้แก่ เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ไข่และน้ำนม อาหารที่มีไนอาซินสูงได้แก่ เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง รำข้าว ส่วนไบโอตินพบในเนื้อสัตว์ ไข่ น้ำนม ผัก ใครที่นิยมรับประทานไข่ดิบเป็นประจำ (สังเกตจากไข่ขาวที่ยังใสอยู่) ต้องระวังอาจทำให้ร่างกายขาดไบโอตินได้ เนื่องจากในไข่ขาวดิบจะมีสารอะวิดิน (avidin) ซึ่งจะจับกับไบโอตินทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมไบโอตินไปใช้ได้ ดังนั้นถ้าชอบรับประทานไข่ลวกก็ควรลวกให้สุกสักหน่อยเพื่อทำลายสารอะวิดินนี้ สำหรับกรดแพนโทเธนิกจะพบในอาหารทั่วไป
เหล็ก มีมากในตับ เนื้อสัตว์ ถั่ว เมล็ดพืช ผักใบเขียว ร่างกายสามารถดูดซึมเหล็กในตับและเนื้อสัตว์ได้ดีกว่าเหล็กที่มีในพืช ดังนั้นผู้ที่นิยมรับประทานอาหารมังสวิรัติอาจขาดเหล็ก ทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ แต่พบว่าวิตามินซีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมเหล็กที่มีในพืชได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้มคั้น ฝรั่ง พร้อมอาหาร การขาดเหล็กนอกจากจะมีผลต่อกระบวนการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานแล้วยังส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง เลือดไม่สามารถนำออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เพียงพอ ทำให้เฉื่อยชา เหนื่อยง่าย ประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียนรู้ลดลง ส่วนทองแดงพบมากในเครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เมล็ดพืช ถั่ว เป็นต้น

Photobucket
จึงเห็นได้ว่าสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานเหล่านี้พบได้ในอาหารที่เรารับประทานตามปกติอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริม แต่ในคนที่เบื่ออาหารและรับประทานอาหารได้น้อยเป็นเวลานานอาจเกิดภาวะการขาดวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ได้ ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้เบื่ออาหารมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้อาจจำเป็นต้องให้วิตามินและแร่ธาตุเสริมเพื่อให้กระบวนการย่อยและการเผาผลาญอาหารในร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ หลังจากรับประทานอาหารได้ตามปกติแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานเสริม แต่ในผู้สูงอายุซึ่งระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารเสื่อมลงไปบ้าง อาจจำเป็นต้องเสริมวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ให้รับประทานพวกวิตามินรวม โดยให้พิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณของวิตามินและแร่ธาตุในผลิตภัณฑ์ 0.5-1.5 เท่า และไม่ควรเกิน 10 เท่า ของปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับต่อวัน สำหรับไบโอตินและกรดแพนโทธินิกอาจไม่จำเป็นต้องมีในผลิตภัณฑ์ที่รับประทานเสริมเนื่องจากวิตามินทั้งสองนี้พบได้ในอาหารทั่วไป และพบภาวะการขาดน้อยมาก
อย่างไรก็ตามใครที่มักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ควรพิจารณาตัวเองด้วย เช่น การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ ซึ่งผู้ใหญ่ควรนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง และได้ออกกำลังกายบ้างหรือไม่ การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ระบบต่างๆ ในร่างกายจะทำงานได้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร และช่วยให้สุขภาพดีขึ้น หากได้ดูแลตัวเองและรับประทานอาหารเหมาะสม ร่างกายก็สามารถใช้พลังงานจากอาหารได้เต็มที่โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารเสริมเกินความจำเป็น

คุณค่าวิตามินอีในน้ำมันพืช

วิตามินอี เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับทุกวัน น้ำมันพืชต่าง ๆ ที่จำหน่ายในบ้านเรามีสัดส่วนปริมาณวิตามินอีมากน้อยต่างกัน
Photobucket
วิตามินอี เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลืองและละลายได้ดีในไขมัน ในแต่ละวันผู้ใหญ่วัยทำงานควรได้รับวิตามินอีประมาณ 8-10 มก. ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (Thai RDA)
อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินอี ได้แก่ นม ไข่ ถั่วลิสง อัลมอนด์ เนื้อสัตว์ ผักโขม และน้ำมันพืชต่าง ๆ อย่างไรก็ตามหลายคนมักหลีกเลี่ยงที่จะรับประทานไขมันพืช โดยเฉพาะผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เพราะเชื่อว่าจะทำให้อ้วน จริงอยู่ที่น้ำมันพืชต่าง ๆ ให้พลังงานสูง แต่ร่างกายยังคงต้องการไขมันเหล่านี้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อช่วยในการดูดซึมวิตามิน
ในบรรดาน้ำมันพืชต่าง ๆ ที่จำหน่ายในบ้านเรามีสัดส่วนปริมาณวิตามินอีมากน้อยต่างกัน โดยน้ำมันที่นิยมรับประทานในครัวเรือนมีดังนี้
น้ำมันข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี มีวิตามินอี 9 มก. เหมาะสำหรับการผัด ทอดหรือเป็นน้ำมันสลัด ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาสูงกว่าน้ำมันอื่นเล็กน้อย
น้ำมันเมล็ดฝ้าย 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี มีวิตามินอี 4.8 มก. เหมาะสำหรับการทอด เพราะทนความร้อนที่อุณหภูมิสูง 230 องศาเซลเซียส ทำให้อาหารกรอบนาน และยังนำไปผัดและเป็นน้ำสลัดได้ด้วย
น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานประมาณ 130 กิโลแคลอรี มีวิตามินอี 4.8 มก. เหมาะสำหรับอาหารผัด และเป็นน้ำมันที่เหมาะกับผู้ควบคุมน้ำหนัก เพราะเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน นอกจากนี้ ยังให้โอเมก้า 3 และ 6 เพิ่มปริมาณไขมันดี HDL-C ให้แก่ร่างกาย ราคาค่อนข้างสูงจึงเป็นที่นิยมเฉพาะกลุ่ม
น้ำมันปาล์ม 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี มีวิตามินอี 7.8 มก. เป็นน้ำมันพืชที่นิยมใช้ที่สุดในร้านอาหารส่วนใหญ่ เพราะมีราคาไม่แพง หากนำไปทอด อาหารจะมีความกรอบนาน แต่รับประทานมาก ๆ ไม่ดีต่อหัวใจเพราะมีไขมันอิ่มตัวสูง
น้ำมันดอกคำฝอย 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี มีวิตามินอี 13.8 มก. เป็นน้ำมันพืชที่ได้รับความนิยมไม่แพ้น้ำมันมะกอก เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เหมาะสำหรับทำน้ำสลัด อบขนม และปรุงอาหารประเภทผัด
น้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี มีวิตามินอี 4.5 มก. เป็นน้ำมันที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะมีราคาไม่สูงมาก และเป็นไขมันไม่อิ่มตัว
น้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี มีวิตามินอี 14.1 มก. เป็นน้ำมันที่กำลังได้รับความนิยม เพราะนอกจากจะมีวิตามินอีสูง ยังไม่เป็นอันตรายต่อการเสี่ยงเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
วิตามินอีมีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งช่วยด้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ป้องกันการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ที่อยู่ตามผิวหนัง ตา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังป้องกันผิวจากการไหม้เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ไม่ควรรับประทานวิตามินอีมากเกิน 1500 IU หรือประมาณ 30 มก. เนื่องจากโอกาสการขาดวิตามินอีโดยเฉพาะผู้ใหญ่ไม่ค่อยพบทั้งชาวไทยหรือต่างประเทศ แต่จะพบในเด็กแรกเกิดที่ไม่ครบกำหนดคลอดเสียมากกว่า ดังนั้นจึงควรระวังในเรื่องการบริโภคเกินจำนวนในปริมาณมาก เพราะหากได้รับวิตามินอีมากไปก็เป็นอันตราย เนื่องจากวิตามินอีไม่สามารถละลายในน้ำ ทำให้ขับออกทางปัสสาวะไม่ได้ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง จนถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง และปริมาณน้ำมันที่รับประทานเข้าไปจะทำให้น้ำหนักตัวและหลอดเลือดมีผลกระทบที่รุนแรงและเห็นได้ชัด วิตามินอีที่ได้จากน้ำมันพืช หรือ ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดพืชประมาณ 40% ได้แก่ มาการีน น้ำมันสลัด น้ำมันพืช ส่วนอีก 20% ได้จากการรับประทานผักและผลไม้ และถ้าใครรับประทานอาหารที่มีธัญพืช ข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง ก็จะได้เพิ่มอีก 20% อีก 15% จะได้จากการรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยเมล็ดธัญพืชผสมลงในผลิตภัณฑ์อาหาร ส่วนที่เหลืออีกเพียงเล็กน้อยจะได้จากเนื้อสัตว์ ปลา และไข่ เท่านั้น คำแนะนำในการปรุงอาหาร
น้ำมันจากพืชถือว่าเป็นแหล่งของวิตามินอีสูง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์แล้วแทบจะไม่มีเลย ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ได้รับวิตามินจากเมล็ดพืชก็น่าจะเพียงพอแล้ว ส่วนการเสริมด้วยรูปของวิตามินคงจะต้องนำมาพิจารณาเป็นราย ๆ ไปว่ามีความจำเป็นเพียงใด แต่การที่จะได้รับวิตามินอีให้ได้ประโยชน์สูงสุดคงจะไม่พ้นการปรุงอหารที่ถูกวิธี ด้วยเหตุที่วิตามินอีจะเสื่อมสภาพด้วยการใช้ความร้อนสูง เช่น ทอด ผัดไฟแดง อบ เจียว และการที่นำน้ำมันกลับมาใช้ซ้ำ อีกทั้งการเก็บรักษาน้ำมันระหว่างการรอใช้ เช่น ภาชนะบรรจุไม่มีฝาปิดสนิท (ฝาหม้อธรรมดา) การทิ้งไว้ในที่มีอากาศร้อน แสงแดดส่องถึง ก็จะทำให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพไป วิธีที่นิยมใช้การถนอมวิตามินอีคือ การเติมน้ำมันลงในอาหารก่อนจะยกอาหารขึ้นใส่จาน นึ่ง ต้ม โดยการเติมน้ำมันลงในน้ำ เช่น น้ำซุป เป็นต้น บางคนอาจรับประทานน้ำมันเปล่า ๆ เพื่อให้ได้วิตามินอีเพียงพอ แต่นั่นคือการทำให้ระบบการย่อยและดูดซึมไขมันหนักเกินไป และแม้ว่าวิตามินอีจะค่อนข้างทนต่อความร้อนและไม่ละลายในน้ำ แต่การประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูง ๆ เช่น การทอด และหากน้ำมันเหม็นหืนก็อาจทำให้วิตามินอีเสียสภาพไปด้วย
อ้างอิง Nutrition concept and Controversies; Frances Sienkiewicz Sizer and Eleanor Noss Whiting 1994 ( p. 226)

โฮลเกรนช่วยลดน้ำหนักได้

Photobucket
เคล็ดลับง่ายๆ ในการดูแลรูปร่างให้ดูดี ไร้ไขมันส่วนเกิน คือ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การมีหุ่นสวย ไร้ไขมันส่วนเกิน เป็นสุดยอดปรารถนาของสาวๆ ทั้งหลาย เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ สวมใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดีแล้ว ยังช่วยให้เราห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ ที่จะตามมาจากภาวะโรคอ้วนอีกด้วย ซึ่ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
สำหรับสาวๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาเรื่องน้ำหนักและรูปร่างที่เริ่มมีไขมันพอกพูน การเลือกรับประทานอาหารจำพวก โฮลเกรน หรือธัญพืชเต็มเมล็ดเป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยในการลดน้ำหนักได้ โฮลเกรน เป็นธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด โดยยังคงส่วนประกอบสำคัญของธัญพืชครบถ้วน ได้แก่ เยื่อหุ้มเมล็ด (Bran) เนื้อเมล็ด (Endosperm) และจมูกข้าว (Germ) ด้วยคุณสมบัติพิเศษของ โฮลเกรน ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เมื่อร่างกายรับเข้าไปจะย่อยอย่างช้าๆ ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน ส่งผลให้ไม่ทานจุบจิบ จึงช่วยในการควบคุมน้ำหนักและยังช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น อีกด้วย เพราะโฮลเกรนมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ วิตามินบี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องระบบขับถ่าย และช่วยให้ผิวพรรณดีอีกด้วย
Photobucket
นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษายืนยัน การรับประทานโฮลเกรนเป็นประจำช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้จริง จากผลการศึกษาระหว่างปี 1986-2005 ในกลุ่มชายหญิงจำนวนกว่าหนึ่งแสนคน พบว่าคนที่รับประทานโฮลเกรนเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักน้อยกว่าคนที่ไม่ได้รับประทานโฮลเกรน โดยพบว่าน้ำหนักตัวจะลด 0.49 กิโลกรัม หากรับประทานโฮลเกรนปริมาณ 40 กรัม เป็นประจำทุกวัน1 โฮลเกรน เป็นเทรนด์อาหารสุขภาพที่กำลังได้รับการพูดถึงอย่างมากในขณะนี้ โดยประเทศต่างๆ ได้ให้ความสำคัญในการหันมารับประทานโฮลเกรนอย่างแพร่หลาย เห็นได้จากข้อแนะนำด้านโภชนาการ ของประเทศต่างๆ อาทิ My Pyramid, Steps to a Healthier You ของ USDA Dietary Guidelines ของสหรัฐอเมริกา หรือ Canadas Food Guide ของแคนาดา แนะนำให้เลือกรับประทานโฮลเกรนที่หลากหลายเป็นประจำทุกวัน Healthy Eating Pyramid ของประเทศออสเตรเลีย ได้ระบุอาหารเช้าที่ทำ มาจากโฮลเกรนเป็นหนึ่งในมื้อสำคัญที่มีการแนะนำให้มีการรับประทานเป็นประจำ เพื่อสุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรง และช่วยป้องกันโรค สาวๆ สามารถเริ่มต้นรับประทานโฮลเกรน เพื่อให้มีหุ่นสวย สุขภาพดี ได้อย่างง่าย ๆ โดยอาจเริ่มจาก การรับประทานโฮลเกรนเป็นอาหารเช้า ซึ่งในปัจจุบันมีอาหารเช้าที่ทำจากโฮลเกรนให้เลือกหลากหลายชนิด และสามารถเตรียมได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แถมมีรสชาติอร่อย เช่น ขนมปังโฮลวีท หรือ ซีเรียลโฮลเกรน ซึ่งควรเลือกชนิดไขมันต่ำ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เรามีหุ่นสวยและมีสุขภาพที่แข็งแรงไปพร้อมๆ กัน ได้อย่างง่ายๆ เห็นไหมล่ะว่าการลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด .

ปาร์ตี้อย่างไรไม่ให้อ้วน!

Photobucket
คุณสามารถเพิ่มน้ำหนักตัว 3 กิโลกรัมในช่วงเทศกาลสุขสันต์ได้ไม่ยาก โดยการกินมากขึ้นเฉลี่ยวันละ 200 แคลอรี อาจจะเป็นเค้กช็อคโกแลต 1 ชิ้น ไวน์ซักแก้ว แต่สำหรับหลายคนที่ไม่อยากให้เอวขยาย ช่วงเทศกาลนี้เป็นช่วงที่ต้องฝ่าฟันจากอุปสรรค อาหาร ขนม ที่มีไขมันสูงทั้งหลาย
article: กฤษฎี โพธิทัต
คุณสามารถเพิ่มน้ำหนักตัว 3 กิโลกรัมในช่วงเทศกาลสุขสันต์ได้ไม่ยากเลย โดยการกินมากขึ้นเฉลี่ยวันละ 200 แคลอรี อาจจะเป็นเค้กช็อคโกแลตชิ้นเล็กๆ 1 ชิ้น คุ้กกี้ 2-3 ชิ้น ไวน์ซักแก้ว แต่สำหรับหลายคนที่ไม่อยากให้เอวขยาย ช่วงเทศกาลนี้เป็นช่วงที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค อาหาร ขนม ไขมันสูง แคลอรีสูง ที่ล้วนแต่ยั่วยวนปากทั้งนั้น แถมยังเป็นช่วงที่ยุ่งเหลือเกินจนหาเวลาออกกำลังกายไม่ได้เสียด้วย
ปกติแล้วเราจะกินตามใจปากกันในช่วงเทศกาลเพราะอาหารและขนมมีมากมายทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ห้างสรรพสินค้าเมื่อเราไปเดินหาซื้อของขวัญ ปัญหาที่มักพบเวลากินของหวาน คือความอยากน้ำตาลมากขึ้นที่ตามมากลายเป็นปัญหาลูกโซ่
กุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณมีความสุข สุขสันต์ในช่วงเทศกาลนี้คือ ความพอประมาณ และมีการเตรียมการล่วงหน้าสักนิด จะทำให้ทุกคนสามารถเริ่มต้นปีใหม่อย่างน้อยก็ไม่เพิ่มน้ำหนักตัวขึ้นแน่นอน (หรืออาจเบาลงกว่าเดิมเสียอีก)
เคล็ดลับความสุขกับการปาร์ตี้แบบไม่อ้วน!
อย่ามาเริ่มไดเอทเอาช่วงนี้ ตั้งเป้าหมายว่าจะคงน้ำหนักเดิมไว้ เพื่อว่าคุณจะไม่เพิ่มความเครียดให้กับตนเอง และยังสามารถ อนุญาต ให้ตนเองกินอาหารที่ชอบบ้าง
ก่อนถึงช่วงเทศกาล วางแผนไว้ว่าจะเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์และมีโปรแกรมออกกำลังกายที่แน่นอน เมื่อถึงช่วงใกล้เทศกาลพยายามออกกำลังกายเหมือนเดิม การออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญแคลอรีส่วนเกินที่กินเข้าไป ช่วยผ่อนคลายความเครียด และช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าด้วย ถ้าวันไหนไม่มีเวลาออกกำลังกายจริงๆ มีทั้งงานประจำและงานส่วนตัว อาจแบ่งเวลามา 10 นาที กระโดดในห้องทำงานและพยายามเคลื่อนไหวตนเองให้มากที่สุด เช่น เดินไปทำธุระ ใช้บันไดแทนลิฟต์ เป็นต้น
อย่าวางแผนว่าจะไม่กินอะไรเลยช่วงวัน เพื่อจะได้กินเยอะหน่อยเวลาไปงานตอนค่ำ การปล่อยให้น้ำตาลต่ำ จะทำให้คุณกินมากเกินภายหลัง ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกจุกเสียด แน่นท้องได้อีก ทางที่ดีคือ กินอาหารมื้อหลักและมื้อว่างแบบ เบาๆ โดยเลือก ผัก ผลไม้ แป้งไม่ขัดสีหรือธัญพืช และโปรตีน ไขมันต่ำ เช่น ปลา ไก่ไร้หนัง ไข่ เต้าหู้ ในปริมาณเล็กน้อยทุกมื้อ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ ตลอดทั้งวัน
กินอาหารรองท้องที่อุดมไปด้วยโปรตีนก่อนไปงานเลี้ยง อาจจะเป็น แซนด์วิชทูน่า ½ คู่ โยเกิร์ต 1 กระปุก หรือไก่ย่าง กับผัก โปรตีนเป็นสารอาหารที่ทำให้อิ่มท้องได้นาน และจะช่วยลดความอยากอาหารลง
เมื่ออยู่ที่งานเลี้ยง พยายามเลือกอาหาร เพื่อสุขภาพ ก่อน เช่น สลัด ผักย่าง ก่อนที่จะเลือกอาหารที่อยากกินอื่นๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องเมินอาหารที่ชอบที่มีไขมันสูงโดยสิ้นเชิง ความพอดีคือกุญแจสำคัญ คุณอาจตักอาหารได้หลายๆ อย่าง อย่างละคำ 2 คำ วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถเอนจอยอาหารได้หลากหลายแต่ไม่มากจนเกินไป
ถ้าคุณจัดงานปาร์ตี้เองที่บ้าน เลือกเมนูผักไว้เยอะหน่อย และใช้วิธีดัดแปลงสูตรอาหารบางสูตรเท่าที่ทำได้ เช่น เลือกใช้นมพร่องไขมันในครีมซอส ใช้วิธีอบหรือย่างแทนทอด ลดปริมาณแป้งอเนกประสงค์ลงครึ่งหนึ่งในสูตรเค้ก และทดแทนด้วยแป้งโฮลวีท หรือทำเค้กไข่ขาวที่มีไขมันต่ำ เสิร์ฟกับซอสผลไม้ และวิปครีมเล็กน้อย
กินอาหารช้าๆ ลิ้มรสชาติของอาหารทุกคำ จะช่วยทำให้คุณได้รับแคลอรีน้อยกว่ากินเร็วๆ และยังทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นด้วย ข้อเสียของการกินอาหารเร็ว คือ คุณอาจกินมากโดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็ได้
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2-3 ดริงค์ ให้พลังงานเท่ากับอาหาร 1 มื้อ เลยทีเดียว ถ้าเลือกจะดื่มควรจำกัดตัวเองที่ 1-2 แก้ว ถ้าเป็นเหล้าผสมให้ผสมกับโซดาหรือไดเอทโคลาจะลดพลังงานลงได้เยอะ อาจลองเป็นน้ำผลไม้ผสมโซดาดู มีประโยชน์มากกว่าและมีแคลอรีน้อยกว่าด้วย
ก่อนออกไปช้อปปิ้งควรกินอาหารให้อิ่มก่อน เพื่อไม่ต้องแวะซื้อขนมแบบเดินไปกินไปด้วย แต่ถ้าอยากกินของหวานจริงๆ ให้กินได้ในปริมาณที่พอเหมาะ (1 ถ้วยขนม, 1 ก้อน, 1 ชิ้น เป็นต้น) และพยายามอย่าให้มากไปกว่า 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ อาจใช้วิธีลดปริมาณข้าวหรือแป้งลงในมื้ออาหาร และเลี่ยงอาหารทอดหรือผัดมัน เพื่อว่าเวลากินของหวานจะได้สมดุลกับแคลอรีที่ได้รับไป แต่อย่าลืมว่าของหวานมักมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ จึงไม่ควรทดแทนแป้งหรือข้าวด้วยของหวานบ่อยๆ
อย่าเก็บขนมที่จะล่อตาล่อใจไว้ที่บ้านหรือในที่โต๊ะทำงาน แบ่งไปให้คนอื่นบ้าง ถ้าไม่เห็นคุณก็คงไม่อยากกิน
ช่วงเทศกาลจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี (เอวไม่ขยาย น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น) ถ้าคุณให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย และเลือกอาหารที่มีประโยชน์เป็นส่วนมาก เพื่อว่าเมื่อถึงวันงานเลี้ยงฉลอง แคลอรีที่เกินจะไม่มีผลกับน้ำหนักมากนัก

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เรื่องน่าเศร้าของสุขภาพชีวิตคนไทยในปัจจุบัน


โภชานาการที่ผิดหลักคือสาเหตุการเสียชีวิตถึง50%

สาเหตุของการเสียชีวิต
1. โรคหัวใจ
2. โรคมะเร็ง
3. โรคเส้นเลือดตีบ
4. โรคเบาหวาน70 % มีสาเหตุจากโภชนาการ 50% ของการเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าว สามารถแก้ไขได้ด้วยโภชนาการที่ถูกต้ององค์การอนามัยโลกได้ประมาณไว้ล่าสุดว่า ปัจจุบันมีพลโลกที่อ้วนมากถึง 300 ล้านคนและอาจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวใน 20 ปีข้างหน้า สาเหตุเนื่องจากการปรับเปลี่ยนของวิสัยการกินอยู่ วิถีชีวิต และการงานถือเป็นโรคภัยใหญ่ที่สุดของศตวรรษ โภชนาการที่ผิดหลักได้รับสารอาหารบางอย่างมากเกินไป คาร์โบไฮเดรต(แป้งขัดขาว),น้ำตาล,เกลือ,โปรตีนจากสัตว์,ไขมันสัตว์,คอลเลสเตอรอล,นิโคติน,แอลลกอฮอล์ได้รับสารอาหารบางอย่างน้อยเกินไป วิตามิน,แร่ธาตุต่าง ๆ ,โปรตีนจากพืช,กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย,กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่าง,ใยอาหาร,สมุนไพร,น้ำสะอาดโรคเหล่านี้เกี่ยวข้องกับภาวะโภชนาการแต่ สามารถป้องกันได้ด้วย โภชนาการที่ถูกต้องความอ้วนทำให้เสี่ยงมากขึ้นดังนี้
- อายุขัยสั้นกว่าคนน้ำหนักปกติ 10-100 เปอร์เซ็นต์
- เบาหวานมากกว่าคนปกติ 53 เท่า
- ความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติ 3 เท่า
- นิ่วในถุงน้ำดี 2-3 เท่าของคนปกติ- โรคหัวใจ และโรคไตเพิ่มขึ้น
- โรคปอดเพิ่มขึ้น
- เวลาผ่าตัดมีความเสี่ยงสูงขึ้น

พร้อมหรือยังครับสำหรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

สาเหตุน้ำหนักเกินและน้อยเกินไป

Photobucket
สาเหตุของน้ำหนักเกิน
การที่คนเรามีน้ำหนักเกินนั้น โดยหลักมาจากการทานอาหารผิดหลักโภชนาการและระบบเผาผลาญของร่างกายต่ำเกินไป เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการ ร่างกายก็จะเรียกร้องให้เราทานอาหารเพิ่มขึ้น จนกว่าจะได้รับสารอาหารที่เพียงพอรวมถึงระบบดูดซึมที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากลำไส้ของเราจะมีสิ่งสกปรกสะสมอยู่ตามผนังลำไส้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบดูดซึมทำงานได้เพียง 30%-50% เท่านั้น ที่เหลือจะไปสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆของร่างกาย และหากเราต้องการให้ร่างกายได้รับเต็ม 100% เราต้องทานเป็น 200% จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราน้ำหนักเกินทำไมจึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ของเราจะแก้ไขในระบบดูดซึมของคุณ เพื่อคุณจะได้รับสารอาหารครบทั้ง 5หมู่ ในขณะที่มีแคลอรี่ต่ำกว่า 200 แคลอรี่เท่านั้นในขณะเดียวกันเรายังมีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยดักจับไขมัน เพื่อให้คุณสามารถทานอาหารที่คุณชอบได้โดยไม่อ้วน และมีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยเผาผลาญไขมันของคุณ ให้เป็นพลังงานซึ่งคุณจะรู้สึกถึงพลังงานที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่สัดส่วนจะลดลงอย่างรวดเร็ว มันจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อโดยไม่ทำให้ผิวหนังหย่อนย่นหลังการลดน้ำหนัก และมีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้คุณสดชื่นในขณะที่ลดน้ำหนักกับเราทำไมจึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ของเราจะแก้ไขในระบบดูดซึมของคุณ เพื่อคุณจะได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ในขณะที่มีแคลอรี่ต่ำกว่า 200 แคลอรี่เท่านั้น ในขณะเดียวกันเรายังมีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยดักจับไขมัน เพื่อให้คุณสามารถทานอาหารที่คุณชอบได้โดยไม่อ้วน และมีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยเผาผลาญไขมันของคุณ ให้เป็นพลังงานซึ่งคุณจะรู้สึกถึงพลังงานที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่สัดส่วนจะลดลงอย่างรวดเร็ว มันจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อโดยไม่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นหลังการลดน้ำหนัก และมีผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้คุณสดชื่นในขณะที่ลดน้ำหนักกับเรา



อันตรายของโรคอ้วน
Photobucket
โรคอ้วนจัดเป็นปัญหาหลักทางสาธารณสุขที่พบมากขึ้นโดยเฉพาะในประเทศไทยพบว่าคนที่อยู่ในเมืองที่มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์มีปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วน อีกทั้งยังมีปัญหาการเจ็บป่วยต่าง ๆ มากมายสืบนื่องมาจากโรคอ้วน มีคนจำนวนมากที่เข้าใจผิดว่าการมีไขมันส่วนเกินเพียงเล็กน้อยที่หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา ก็ถือว่า "อ้วน" ซึ่งถือว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งเนื่องจากคำว่า "อ้วน" ในความหมายของคนทั่วไป กับความหมายทางวิชาการมีความแตกต่างกันและควรที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาว่ามีความคิดวิตกกังวลว่าตนเอง "อ้วน" ทั้งที่จริง ๆ แล้วน้ำหนักยังอยู่ในเกณฑ์ปกติในทางวิชาการมีเกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วนหรือไม่ ขององค์การอนามัยโลกโดยใช้ดัชนีมวลกายหรือ Body Mass Index (BMI) ค่าที่ได้ดังกล่าวได้มาจากการคำนวณ ค่าน้ำหนักตัวปกติซึ่งควรอยู่ในช่วง18.5-24.9 และจะถือว่าเป็นโรคอ้วนเมื่อมีค่า BMI มากกว่า 30 ขึ้นไป ในบทความนี้จะมีวิธีคำนวณค่าBMI เพื่อให้ผู้ที่สนใจลองคำนวณหาค่า BMI ของตนเอง และจะได้ประเมินว่าร่างกายของท่านอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ ร่วมกับการพิจารณาประกอบว่าควรจะลดน้ำหนักลงมากน้อยเพียงใดและเมื่อท่าน "อ้วน" มีปัจจัยเสี่ยงของโรคใดบ้าง และท่านควรปฏิบัติตนอย่างไรในการลดน้ำหนัก เพื่อช่วยให้ท่านสามารถลด น้ำหนักได้ และมีสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ดีสามารถปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆในชีวิตประจำวันได้ และมี น้ำหนักเหมาะสมกับส่วนสูงและอายุของตนเองหรือไม่
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าการที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือความอ้วนนั้นสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลายชนิด และมีผลต่อระบบการทำงานในร่างกายหลายระบบด้วยกัน ได้แก่
-ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งได้แก่ โรคหลอดเลือดและหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดโคโรนารี
-โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี (gallbladder disease)
-โรคเกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง (cirrhosis)
-มะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ต่อมลูกหมาก มดลูก รังไข่ เต้านม ถุงน้ำดี ตับอ่อน
-โรคทางเดินหายใจและปอด หายใจลำบากขณะนอนหลับ นอนกรน (snoring) เพราะทางเดินหายใจเริ่มตีบตัน ร่างกายจะขาดออกซิเจน ทำให้ ร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่ ส่งผลให้ง่วงนอนในเวลากลางวันบางคนอาจเป็นมากขนาดหลับในขณะขับรถ จนเกิดอุบัติเหตุได้
-โรคเกี่ยวกับไต เช่น นิ่ว ไตวายจากความดันโลหิตสูง
-โรคกระดูกและข้อต่อ โรคข้อต่อเสื่อม (os-teoarthritis in joints) โดยเฉพาะบริเวณสะโพก หัวเข่า ข้อศอก
-โรคเก๊าท์ (gout)
-โรคเบาหวาน (diabetes mellitus)
-เส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน (stroke)
-ซึมเศร้า (depression)
-เส้นเลือดขอด (varicose vein)
-เหงื่อออกมาก (sweating)
-การเป็นหมัน (infertility)
จากการเสี่ยงต่อสุขภาพของโรคอ้วนที่กล่าวถึงข้างต้นอันมีมากมายหลายประการ จึงมีการศึกษาถึงอันตรายของโรคอ้วนถึงขนาดว่าคนอ้วนมีอัตราการเสียชีวิตแตกต่างจากคนรูปร่างปกติหรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่าอัตราการเสียชีวิตของคนที่อ้วนมากมีสูงขึ้นถึง 2-12 เท่า ขึ้นกับอายุของแต่ละบุคคล แต่ถ้ากลุ่มประชากรที่อ้วนหรือน้ำหนักเกินสามารถลด น้ำหนักได้เพียง 5-10 % ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น ก็จะสามารถลดอัตราการพิการ และอัตราการตาย (morbidity and mortality rate) ได้ระดับหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีความพอดี การมากหรือน้อยเกินไปอาจเกิดผลเสียได้มากกว่าผลดี "น้ำหนัก" ก็เช่นกัน ถ้ามากเกินไป "อ้วน" ก็เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าสามารถลดความมากเกินไปลงมาให้ใกล้พอดีได้ก็จะเกิดการลดอัตราการเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ แล้วคนที่มี "น้ำหนักเกิน" หรือ "อ้วน" สามารถรู้สาเหตุว่าเพราะอะไรจึงเกิดความมากเกินไปนี้ได้ โดยทั่วไปสาเหตุของ "อ้วน" มีหลายสาเหตุ บางคนอาจเกิดจากสาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุประกอบกันก็ได้


สาเหตุของโรคอ้วน:ปัจจัยอื่นๆ

1. พันธุกรรม ถ้าพ่อแม่เป็นโรคอ้วน ลูกที่เกิดมาก็มีโอกาสเป็นโรคอ้วนสูง
2. รับประทานอาหารมากเกินไป แล้วไม่มีเวลาออกกำลังกาย กล่าวคือ พลังงานที่ได้รับจากการรับประทานมากกว่าพลังงานที่ใช้ไปในการออกกำลังกาย เช่น ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันและแคลอรี่สูง เช่น หนังไก่ทอด มันหมู หมูสามชั้น ขาหมู ครีม เค้ก ฯลฯ แล้วไม่ยอมหาเวลาว่างออกกำลังกายเพื่อให้มีการใช้พลังงานที่ได้รับเข้ามา
3. พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสมทำให้มีการใช้พลังงานต่ำ และทำให้เสียโอกาสในการทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายที่มีประโยชน์ต่อ สุขภาพ เช่น การจราจรติดขัดในกรุงเทพ ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องนั่งเฉยบนรถยนต์หลายชั่วโมงต่อวัน ลักษณะงานที่ต้องนั่งทำงานตลอดเวลา พฤติกรรมชอบรับประทานอาหารจุกจิก เป็นต้น
4. โรคบางชนิด เช่น Cushings Syndrome ซึ่งจะทำให้ร่างกายของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้อ้วน โดยสาเหตุของโรคนี้เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย จนทำให้อ้วนบริเวณใบหน้า ลำตัว ต้นคอด้านหลัง แต่แขนขาจะเล็ก และไม่มีแรง ในกรณีนี้จะต้องรักษาที่ต้นเหตุคือ ฮอร์โมนที่มีความผิดปกติจึงจะสามารถหายอ้วนได้
สำหรับการรักษาโรคอ้วนนี้ วิธีการรักษาที่ดีควรต้องมีการผสมผสานการรักษาหลายวิธีร่วมกัน คือ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกายเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ส่วนการรักษาโดยใช้ยานั้นต้องใช้ในกรณีจำเป็นต่อการรักษาโรคอ้วนจริง ๆ และมักต้องอาศัยการรักษาด้วยยาร่วมกับวิธีอื่น ๆ หรือถึงแม้ไม่ได้รับการรักษาด้วยยา ถ้าต้องการลดน้ำหนักก็ต้องอาศัยทั้ง 3 วิธีข้างต้นร่วมกันในการรักษาและควบคุมน้ำหนัก
การควบคุมอาหาร (diet)
ในการลดน้ำหนักคนอ้วน คือ ให้พลังงานจากอาหารน้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องใช้ ร่างกายจึงสลายพลังงานที่เก็บสะสมในร่างกายออกมาใช้แทน น้ำหนักก็จะลดลง การควบคุมอาหารเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความแน่วแน่ของตัวท่านเองเพราะถ้าท่านยังไม่สามารถตัดใจในเรื่องอาหารได้ ความสำเร็จในการลดน้ำหนักก็จะลดลงด้วย ลองตั้งใจเต็ม 100% ในการควบคุมอาหาร แล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จ แต่มีข้อแนะนำว่าท่านไม่ควรงดอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างเด็ดขาด หรือไม่ยอมรับประทานอาหารในมื้อนั้น ๆ เพื่อจะลดน้ำหนักแต่ควรมีการควบคุมปริมาณอาหารที่ได้รับแต่ละมื้อมากกว่า เพราะถ้างดอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างเด็ดขาดอาจทำให้ท่านขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายได้และถ้าท่านไม่ยอมรับประทานอาหารในมื้อใดมื้อหนึ่งอย่างเด็ดขาด ก็อาจทำให้ท่านเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้เช่นกัน
การออกกำลังกาย (exercise)
เป็นวิธีที่สำคัญในการลดน้ำหนัก กล่าวคือ เป็นส่วนของการใช้พลังงานที่ถูกสะสมไว้ในรูปของไขมันซึ่งถ้าสัดส่วนของการใช้พลังงานมากกว่าสัดส่วนของพลังงานที่ได้รับเข้าไปก็จะสามารถลดน้ำหนักได้ และวิธีการออก กำลังกายนี้สามารถลดน้ำหนักได้ในระยะยาว นอกจากมีผลดีในการลดน้ำหนักแล้วยังมีข้อดีอีกหลายประการ ไม่ว่าจะผลดีต่อระบบหายใจ ทำให้การทำงานของหัวใจและปอดดีขึ้น แล้วยังลดปัญหาด้านภูมิแพ้ โดยจะเพิ่มความต้านทานแก่ร่างกายด้วย นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ โดยทั่วไปมักใช้วิธีออกกำลังกายนี้ควบคู่กับการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายที่เหมาะสมควรใช้เวลาประมาณ 30-60 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่ เหมาะสม ซึ่งข้อนี้ขึ้นอยู่กับคุณเองมากกว่าว่าสามารถเรียนรู้และแก้ไขตัวคุณเองมากแค่ไหน มีความตั้งใจแน่วแน่ และจิตใจตั้งมั่นในการลดน้ำหนักมากน้อยเพียงใด เช่นถ้าคุณชอบทานของจุกจิก ชอบทานขนมก่อนนอน ชอบทานอาหารมัน ๆ ก็ควรจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคุณเองโดยพยายามทานอาหารเฉพาะมื้อหลัก ๆ (งดเว้นอาหารว่างระหว่างมื้อ) และพยายามตัดใจเมื่อเจออาหารที่มีไขมันมาก ๆ
การใช้ผลิตภัณท์ทางธรรมชาติช่วยลดน้ำหนัก ผลิตภัณท์ที่ผ่านการรับรองจากอย.65ประเทศและมีการรับรองผลจากสถาบันวิจัยชั้นนำของโลก ก็สามารถลดความเสี่ยที่ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ครับ
สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่


Photobucket
สาเหตุของน้ำหนักน้อยเกินไป
คนที่ผอมเกินไปน้ำหนักน้อยทั้งๆ ที่พยายามรับประทานอาหารจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ แห้ง กร้านไม่รู้สึกถึงความมีน้ำมีนวลเลย เกิดจากสาเหตุ
1. ร่างกายมีความสามารถเผาผลาญอาหารได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ระบบการดูดซึมของร่างกายกลับทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
2. รับประทานอาหารที่ขาดคุณค่าทางโภชนาการ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารไปใช้ประโยชน์ในการสร้างเซลล์กล้ามเนื้อและผิวพรรณ เพื่อเพิ่มสัดส่วน น้ำหนักของร่างกายและความสดใสได้อย่างเพียงพอ
3. การขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับสมดุลระบบการทำงานของร่างกายปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่

การสร้างกล้ามด้วยวิธีทางธรรมชาติ

Photobucket

เซลล์กล้ามเนื้อในร่างกายของคนเราต้องการแคลอรีมากมาย ดังนั้นเมื่อเรารับประทานอาหารและได้แคลอรีเหล่านี้เข้ามาในร่างกาย ไขมันจะไม่ใช้แคลอรีเหล่านี้ แต่กล้ามเนื้อของเราใช้กล้ามเนื้อจะมีความหนาแน่นมากกว่าไขมัน ถ้าเราสามารถสร้างกล้ามเนื้อให้เกิดขึ้น เราก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่ผอมลงและกล้ามเนื้อเหล่านั้นจะดูดซึมแคลอรี และปล่อยให้แคลอรีที่เกินความต้องการนั้นเปลี่ยนเป็นไขมัน

กล้ามเนื้อไม่สามารถถูกสร้างได้โดยปราศจาก Growth hormone ในกระแสเลือดของเราโปรตีนจำเป็นต่อการสร้างโครงสร้างของร่างกาย การสร้างโครงสร้างไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก อวัยวะ เนื้อเยื่อ และอื่น ๆ ล้วนต้องการโปรตีน แต่ถ้าในกระแสเลือดมีแต่อินซูลินแล้วโปรตีนก็จะไม่เปลี่ยนไปในโครงสร้างของร่างกาย แต่จะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานหรือไขมันเท่านั้น สิ่งที่นำมาเปลี่ยนโปรตีนให้เป็นกล้ามเนื้อ หรืออยู่ในโครงสร้างของร่างกายก็คือ Growth hormone ไม่ใช่อินซูลินมีเพียง Growth hormone เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนอาหาร (โปรตีน) ไปเป็นเนื้อเยื่อ อวัยวะ กระดูก โครงสร้างกล้ามเนื้ออื่น ๆ

ร่างกายของมนุษย์ค่อนข้างมีความฉลาด มันสามารถคำนวณได้ว่าเวลาที่ดีที่สุดของร่างกายที่จะผลิต Growth hormone คือขณะที่กำลังนอนหลับระหว่าง 90 นาทีแรกหลังจากที่นอนหลับโดยธรรมชาติแล้วร่างกายจะผลิต Growth hormone ซึ่งจากนั้นการทำงานของมันคือเปลี่ยนโปรตีนที่มีอยูให้เป็นกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ กระดูก ผิวหนัง ผม และส่วนต่าง ๆ ที่ทดแทนขึ้นมาใหม่ถ้าเรารับประทานอาหารมาก ก่อนนอนหลับร่างกายก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไร มันก็ต้องเปลี่ยนอาหารทั้งหมดเป็นพลังงาน ดังนั้นมันจึงผลิตอินซูลินมากมายเพื่อที่จะจัดการงานของมันแต่ขณะที่เรานอนหลับร่างกายก็พยายามที่จะผลิต Growth hormone ด้วยเมื่อฮอร์โมน 2 ชนิดนี้พยายามที่จะอยู่ด้วยกันเวลาเดียวกันในกระแสเลือด Growth hormone จะมีระดับปานกลาง และอินซูลินจะมีมากกว่า จึงมีอินซูลินอยู่มากมาย อาหารที่รับประทานมากมายก่อนนอนจีงเปลี่ยนไปเป็นไขมัน

กรดอะมิโนบางชนิดเช่น Ornithine และ Arginine ทำให้ร่างกายผลิต Growth hormone ได้มากขึ้น กรดอะมิโนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในรูป Growth hormone เพียงแต่เป็นอาหารสำหรับต่อม พิธูอิธารี่ ซึ่งผลิต Growth hormone เมื่อต่อมพิธูอิธารี่สามารถผลิต Growth hormone ที่มากกว่ปริมาณปกติ มันก็จะเปลี่ยนโปรตีนให้เป็นกล้ามเนื้อ เราก็จะสามารถลดน้ำหนักได้ด้วยการสร้างกล้ามเนื้อ
ส่วน Lysine นั้นเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับร่างกายอีกชนิดหนึ่ง และสำหรับบางคนแล้วเมื่อรับประทาน Arginine เข้าไปจะทำให้เกิดแผลในช่องปาก และ Lysine ป้องกันไม่ให้เกิดอาการนี้

Photobucket

**อันตรายของสเตียรอยด์**
สเตียรอยด์ในร่างกายPhotobucket
บางท่านอาศัยการสร้างกล้ามเนื้อโดยการใช้สเตียลอยด์การที่ร่างกายสามารถรับสเตียรอยด์ได้เนื่องจากร่างกายเองก็มีการสร้างสเตียรอยด์ออกมาก เพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยมีการควบคุมมาจากสมองมายังต่อมหมวกไต เพื่อหลั่งสารสเตียรอยด์ออกมา ซึ่งร่างกายจะนำไปใช้ในการควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอด
พิษร้ายของสเตียรอยด์
แม้ว่าในทางการแพทย์สเตียรอยด์จะมีข้อบ่งชี้ทางการรักษามากมาย แต่ไม่ควรซื้อยานี้ใช้เองโดยไม่มีแพทย์คอยดูแลการใช้ยา เนื่องจากผลข้างเคียงของสเตียรอยด์นั้นมีมากมายเช่นกัน ได้แก่

• เลือดออกในกระเพาะอาหาร เนื่องจากสเตียรอยด์ไปทำให้ผนังกระเพาะอาหารและลำไส้บางลง และเสียความสามารถในการป้องกันกรดในทางเดินอาหารที่หลั่งมาเพื่อย่อยอาหาร ดังนั้นหากได้สเตียรอยด์ไปนานๆ ผนังทางเดินอาหารก็จะบางตัวลงจนถึงขั้นทะลุ และเกิดแผลเลือดออกได้ หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงทีก็เสียชีวิตได้

• กระดูกบาง การใช้สเตียรอยด์จะไปกระตุ้นเซลล์ในกระดูกชนิดหนึ่งร่วมกับกระตุ้นระบบฮอร์โมน ทำให้กระดูกถูกละลายบางลง ซึ่งในคนสูงอายุก็จะลงท้ายด้วยกระดูกพรุนและเกิดกระดูกหักได้ง่าย

• ร่างกายหยุดสร้างสเตียรอยด์ เพราะได้สเตียรอยด์จากภายนอกไปมากพอแล้ว และหากวันใดไม่ได้รับสเตียรอยด์จากภายนอกเข้าไป แล้วเจอเรื่องเครียด (เจ็บป่วย อดอาหาร เครียด) ร่างกายก็จะขาดสเตียรอยด์อย่างฉับพลัน และไม่สามารถปรับตัวได้ทัน อาจทำให้ความดันโลหิตตกลง หมดสติ และเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

• กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย บดบังอาการติดเชื้อต่างๆ เมื่อร่างกายติดเชื้อก็จะไม่มีอาการเจ็บไข้ให้เห็น ทำให้ดูเหมือนสบายดี และเนื่องจากสเตียรอยด์กดภูมิคุ้มกันของร่างกายเอาไว้ ดังนั้นกว่าจะรู้สึกอีกที เชื้อโรคก็เจริญเติบโตเริงร่าไปทั่วร่างกายแล้ว ซึ่งทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้

• ยับยั้งการเติบโตในเด็ก ทำให้เด็กโตช้าและหยุดสูงเร็วกว่าปกติ อันนี้ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่เลี้ยงไม่โต

• น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงในผู้ป่วยเบาหวาน หรือทำให้ระดับน้ำตาลควบคุมได้ยาก หากน้ำตาลอยู่ในระดับสูงมากอาจทำให้ช็อคและเสียชีวิตได้
โดยปกติ ยาสเตียรอยด์ถูกจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ไม่สามารถขายแม้ในร้านขายยาได้หากไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ และโดยทั่วไปก็ไม่มีแพทย์คนไหนสั่งสเตียรอยด์ให้คนไข้สุ่มสี่สุ่มห้า เพราะว่าในที่สุด ผลสุดท้ายที่ออกมาก็คือการรักษาจะไม่ดีขึ้นในระยะยาว กล้าพูดได้ว่าสเตียรอยด์ที่คนไทยใช้กันผิดๆ อย่างต่อเนื่องที่ได้รับโดยตรงจากเภสัชกรหรือแพทย์นับว่ามีน้อยมาก แต่เมื่อพบผู้ที่ใช้สเตียรอยด์มาต่อเนื่องยาวนาน กลับพบว่าส่วนใหญ่มักมีความเชื่อว่าเภสัชกรหรือแพทย์นั่นแหละที่แอบจ่ายยาสเตียรอยด์ให้เขาโดยไม่บอก ไม่รู้ว่าตนเองไปโดนมาจากไหน หรือแม้แต่ไม่เชื่อว่าของที่กินอยู่นั่นแหละที่ผสมสเตียรอยด์
แหล่งสเตียรอยด์ที่สำคัญของคนไทย
แหล่งสเตียรอยด์ที่สำคัญของคนไทย คือ ยาสมุนไพร ยาแผนโบราณ ยาลูกกลอน ยาพระ ยาต้ม ยาหม้อ ยาชุด ยาลูกกลอน ยาสมุนไพร ยาต้ม ยาหม้อ
ในที่นี้มิได้มีเจตนาดูถูกภูมิปัญญาชาวบ้านนะคะ เพราะที่ดีก็มีอยู่จำนวนมาก แต่เนื่องจากปัจจุบันผู้ค้าบางรายชอบหยิบเอาประเด็นสมุนไพร และภูมิปัญญาชาวบ้านมาแอบอ้างใช้เป็นเกราะป้องกันตัว เวลาทำการโฆษณาขายยาตามหมู่บ้าน โดยอวดอ้างว่าแพทย์แผนปัจจุบันไม่มีความรู้ และดูถูกยาเหล่านี้เพราะเป็นยาพื้นบ้านของไทย การขายยากลุ่มนี้ ถ้าแบบไม่ลงทุนก็ขายเป็นยาลูกกลอน ถ้าลงทุนนิดนึงก็ขายเป็นยาหม้อหรือยาสมุนไพร
ยาลูกกลอน
ของเขาก็เอาพืชผักอะไรก็ไม่รู้ บางทีก็เป็นสมุนไพรจริงนำมาตากบดเป็นผงละเอียด มาปนกับผงยาสเตียรอยด์ จากนั้นผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลมๆ เป็นอันเสร็จพิธี ข้อเสียของการขายแบบนี้คือ ประชาชนหลายคนถูกปลูกฝังตั้งแต่ยุคสิบกว่าปีก่อนที่มีการรณรงค์เรื่องยาชุดว่า มีกลวิธีผสมสเตียรอยด์แบบนี้ในยาลูกกลอน ดังนั้นจะมีลูกค้าบางส่วนไม่ซื้อ ผู้ค้าที่ฉลาดบางรายจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่เป็นการนำสมุนไพร ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือกิ่งไม้ข้างทาง เถาไม้เลื้อยบางชนิด ใบไม้แห้งต่างๆ มารวมกัน เอาไปผ่านกรรมวิธีอาบน้ำยาสเตียรอยด์ ก่อนจะนำไปตากแห้งแล้วแต่งสีให้ดูปกติ แล้วเอามารวมเป็นชุดๆ ขายให้คนที่หลงเชื่อซื้อเอาไปต้ม พอต้มแล้วเอาน้ำมาดื่ม ซึ่งมีค่าเท่ากับดื่มยาสเตียรอยด์เข้าไปนั่นเอง
ยาพระ
สเตียรอยด์อาจมาในอีกรูปแบบโดยอ้างว่าเป็น ยาพระ โดยมีทั้งพระจริง และพระปลอม พระปลอมก็อย่างเช่น การอ้างเกจิอาจารย์ดังๆ ในอดีต หรืออุปโลกน์พระที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาแล้วอ้างตำราของท่านเหล่านั้น ถ้าให้น่าเชื่อถือก็อ้างส่วนผสมแล้วใช้คำไทยๆ เช่น เกสรทั้ง 5 รากทั้ง 6 ลำต้นทั้ง 7 อะไรทำนองนี้ เอามาแปะไว้หน้าห่อ พระจริง มีทั้งแบบที่พระทำเอง หรือแบบที่คนทำเอามาฝากขายตามวัด หรือคนทำเอาไปหลอกพระที่วัดเพื่อเอาพระเหล่านั้น มาเป็นสโลแกนว่าเป็นยาโบราณ พวกนี้ผิดกฎหมายแถมยังบาปอีกต่างหาก
ยาชุด
ยาชุดในที่นี้ขอให้แยกจากยาชุดที่แพทย์หรือเภสัชกรซึ่งมีการระบุชื่อยาไว้อย่างชัดเจน ให้นึกถึงยาหลากหลายสีในถุงยาใสเล็กๆ วิธีกินคือ กินทีละซอง พวกนี้ชอบขายตามร้านของชำ ปั๊มเล็กๆ หรือร้านยาที่ไม่มีเภสัชกรประจำร้าน โดยจะมีตัวแทนจำหน่ายนำมาส่งต่อให้ร้านเหล่านี้อีกที โดยอ้างสรรพคุณครอบจักรวาล ทั้งแก้ปวดเมื่อย กษัยเส้น ช่วยเจริญอาหาร ที่ร้ายก็คือ คนพวกนี้ชอบอ้างสรรพคุณว่าเป็นยาบำรุง ไม่ใช่ยาชุดและบางครั้งยังใส่ความเชื่อผิดๆ ว่ายาชุดที่กระทรวงสาธารณสุขปราบปรามคือ เป็นยาที่แพทย์และเภสัชกรสั่งให้ในคลินิก โรงพยาบาล หรือร้านขายยา แล้วแอบผสมสเตียรอยด์ลงไป
สรุปว่าไม่ว่าจะเป็นยาอะไรจากใครก็ตาม หากคุณเห็นว่าใส่รวมๆ กันไม่มีชื่อยาก็ขอให้ถาม ชื่อยา จากคนที่เอายาให้ อย่าเกรงใจกลัวเขาจะว่า เพราะนั่นเป็นสิทธิผู้ป่วยที่คุณสมควรรับทราบ แต่ถ้าถามชื่อยาแล้วกลับบอกแค่ว่าเป็นยารักษาอาการอะไร ประมาณว่า ยา ชื่อ อาการ เช่น ยาลดปวด ยาลดบวมข้อ ยาเส้น ยาแก้ไอ เป็นต้น ก็ให้คิดเผื่อใจไว้เลยว่าคุณอาจจะเจอยาชุดของจริงเข้าให้แล้ว

ลำไส้ใหญ่สกปรกสาเหตุหลักของมะเร็งลำไส้

ปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายเป็นปัญหายอกฮิตและแสนอันตรายของคนเมืองแต่กระนั้นก็ยังถูกเมินเฉยเพราะคิดว่าท้องผูกเป็นเรื่องธรรมดาเดี๋ยวก็หายผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักถึงภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจากเรื่องง่ายๆ เช่น การขับถ่ายไม่ปกติว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพเพียงใด ดร.เบอร์นาร์ด เจนเซ่น D.C.,Ph.d. ได้กล่าวไว้ว่า”การขับถ่ายที่เรียกว่าปกติคือ การเข้าห้องน้ำวันละ 2-3 ครั้ง” ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ โดยเฉพาะในสภาพสังคมที่การใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากหากเทียบกับสมัยก่อน เราทำงานหนักมากขึ้น เครียด ไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ รับประทานแต่อาหารสำเร็จรูป ข้าวขัดสี อาหารที่ผ่าการทอด ผัด ปิ้งย่าง อากาศ และอาหารที่ปนเปื้อนไปด้วยสารพิษ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนส่งผลเสียต่อระบบขับถ่าย ก่อให้เกิดการสะสมของสารพิษในร่งกายและทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และในที่สุดโรคร้ายอย่างเช่น มะเร็ง ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป ภาวะความเสื่อมถอยของร่างกายที่มีผลจากการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ล้วนเป็นความจริงที่เรา ปฏิเสธไม่ได้ ดร.ฮาวี่ เคลล็อค กล่าวว่า “คนไข้กว่า 2 หมื่นรายที่ตนผ่าตัดมายังไม่มีสักคนที่มีสำไส้อยู่ในสภาวะปกติเลยแม้แต่คนเดียว” ลำไส้ที่ทำงานได้เป็นปกติจะส่งผลดีต่อการดูดซึมสารอาหารและระบบกำจัดของสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะหากลำไส้ทำงานไม่ปกติ ของเสียจะตกค้างและเน่าบูดกลายเป็นสารพิษและถูกดูดซึมกลับเข้าไปตกค้างในร่างกายผ่านทางระบบเลือดและน้ำเหลืองก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆเช่น ปวดหัวไมเกรน กลิ่นปาก ปลิ่นตัว ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยท้อวผูก ภูมิแพ้ สิวฝ้า ฯลฯแพทย์สหรัฐฯเปรียบเทียบเรื่องการทำงานของลำไส้ใหญ่ได้น่าสนใจมาก- ดร.นอร์แมน วอร์คเกอร์ D.SC.,PhD. กล่าวว่า”การที่ลำไส้ใหญ่ไม่สามารถกำจัดของเสียได้ตามเวลาที่ควรจะเป็น เปรียบดังรถขนขยะที่ไม่มารับขยะตามเวลา และในที่สุดขยะก็จะเน่าบูดและส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งและทำให้อากาศเป็นพิษ”- ดร.เบอร์นาร์ด เจนเซ่น กล่าวว่า”ลองนึกภาพปั้มระบบบำบัดน้ำเสียในเมืองที่ไม่ทำงาน เพราะท่อบำบัดถูกอุดตันเต็มไปด้วยขยะจนในที่สุดน้ำก็จะเน่าและส่งผลเสียต่อประชาชนในที่สุด”การดูแลสุขภาพกายและใจด้วยการออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาดอย่างพอเพียงมองโลกในแง่ดี พร้อมทั้งการช่วยร่างกายกำจัดของเสียที่สะสมมานานปีนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง การบำบัดล้างลำไส้ด้วยการดื่มชาเพื่อสุขภาพก็เป็นอีกวิธีที่สามารถช่วยให้ร่างกายกำจัดของเสียและสารพิษตกค้างสะสมในลำไส้ใหญ่ ด้วยวิธีง่ายๆสามารถทำได้เองจากที่บ้าน
Photobucket

เซลลูไลท์:การป้องกันและรักษา

Photobucket
เซลลูไลท์ (Cellulite) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีเป็นต้นไป และทำให้เกิดความกังวลด้านความสวยงามไม่แพ้โรคอ้วน เซลลูไลท์ คือ ก้อนไขมันใต้ผิวหนังที่ทำให้ผิวหนังแลดูตะปุ่มตะป่ำเหมือนเปลือกผิวมะกรูด เชื่อว่าเกิดจากการที่ไขมันเคลื่อนตัวสูงขึ้นมาอยู่ในชั้นของผิวหนัง หรือเกิดจากการที่มีการไหลเวียนของระบบเลือดในบริเวณนั้นลดลง การคั่งของน้ำเหลือง และฮอร์โมนที่ไม่สมดุลย์ เหตุผลที่ไขมันส่วนนี้ดูเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ เพราะไขมันใต้ผิวหนังบางครั้งมีจำนวนมากจนกลายเป็นก้อนไขมัน ซึ่งแต่ละก้อนจะมีเปลือกเหนียวๆ หุ้ม ทำให้แลดูภายนอกเห็นเป็นลอนๆ ของก้อนไขมัน บริเวณที่มีการสะสมของเซลลูไลท์มากก็คือ บริเวณต้นขา ต้นแขน หน้าท้อง รอบเอว และสะโพก เราสามารถตรวจสอบเซลลูไลท์ด้วยตัวเองโดยใช้วิธีง่ายๆ คือหงายท้องแขนแล้วใช้มืออีกข้างบิดแขน ถ้าพบกับผิวหนังที่มีลักษณะขรุขระเป็นก้อนคล้ายผิวส้ม นั่นคือเซลลูไลท์ ซึ่งจะไม่เรียบเนียนเหมือนไขมันทั่วไป

เซลลูไลท์ จัดแบ่งตามลักษณะทางคลินิก ได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. Hard Cellulite : พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อายุน้อย ( 20-40 ปี) และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ ลักษณะจะเป็นก้อนแข็งเมื่อบีบตามร่างกาย จะเป็นก้อนๆ เล็กๆ พบได้บ่อยบริเวณตะโพก บั้นท้าย
2. Flaccid Cellulite : พบได้ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ลักษณะจะเป็นก้อนไขมันนุ่มๆ มีการหย่อนคล้อย กล้ามเนื้ออ่อนเหลว พบได้บ่อยบริเวณ ท้องแขน คาง รอบเอว หน้าท้อง
3. Edematous Cellulite : มักจะพบจากการไหลเวียนของโลหิตไม่ดี การคั่งของน้ำเหลือง ทำให้ลักษณะเหมือนการบวมน้ำกดบุ๋ม พบได้บ่อยที่ต้นขา ตะโพก จะพบว่าผิวหนังมักจะดูบอบบางเห็นเส้นเลือด บวมๆ
4. Mixed Cellulite: มักจะพบได้บ่อยที่สุด ซึ่งในคนๆ เดียว อาจจะพบ Cellulite ทั้งแบบ 1-3 ได้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

แนวทางการป้องกันและรักษา Cellulite
1. ควบคุมอาหาร และป้องกันมิให้อ้วนเพิ่มขึ้น : จะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันเพิ่มขึ้น เลือกรับประทานอาหารที่ต้านเซลลูไลท์ เช่น พืชผักผลไม้ให้มากขึ้น เพราะวิตามินอีและซีจะช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้น และอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืช จะช่วยการไหลเวียนของโลหิตให้มากขึ้น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมันสูง ของหวาน อาหารรสเค็ม ไขมันสัตว์ กาแฟ แอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้ยากที่จะขจัดออกจากร่างกาย หรือการดื่มเครื่องดื่มชาเขียวสกัดที่มีคุณสมบัติช่วยเผาผลาญไขมันที่สะสมในเนื้อเยื่อทุกสัดส่วนของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งก้อนเซลล์ไขมันใต้ผิวหนังหรือเซลลูไลท์ และทำให้เกิดสมดุลย์ระหว่างกล้ามเนื้อกับไขมัน โดยจะถูกเผาผลาญให้เป็นพลังงาน
2. การออกกำลังกาย : พบว่าการออกกำลังกายอาจทำให้ผิวที่ตะปุ่มตะป่ำดูดีขึ้น เพราะการออกกำลังกายทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานทำให้ก้อนไขมันมีขนาดเล็กลง นอกจากนั้น การออกกำลังกายยังทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดโตขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อที่โตขึ้นมักมีขนาดสม่ำเสมอ (ไม่เหมือนก้อนไขมันที่เวลาโตมักแลดูตะปุ่มตะป่ำ) จึงทำให้แลดูว่าผิวเรียบขึ้น
3. การนวด : โดยใช้ฝ่ามือนวดไปมาลงน้ำหนักที่ละน้อย เริ่มจากหัวไหล่เพื่อลดบริเวณแขน ส่วนบริเวณหน้าท้อง ก็ใช้ฝ่ามือทั้งสองนวดสลับกันจากหน้าท้องถึง หน้าอก บริเวณสะโพกนั้นลูบขึ้นในลักษณะเดียวกัน และบริเวณเรียวขา เริ่มตั้งแต่ข้อเท้าไล่ขึ้นมาจนถึงบริเวณขาอ่อน นวดให้ทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเรียวขา ซึ่งอาจจะใช้ควบคู่กับครีมลดไขมันเฉพาะส่วน หรือใช้เครื่องนวดที่จะไปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้เซลลูไลท์แตกตัว
4. Mesotherapy : การฉีดตัวยาหรือสารอาหารสู่ชั้นไขมันด้วยเข็มดิจิตอลขนาดเล็กมาก ทำให้กระบวนการเกิดไขมันถูกขัดขวางไม่สะสม ทำให้เกิดการสลายไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันจะมีลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนไป และเป็นการกระตุ้นให้เซลลูไลท์ หรือไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ถูกขับออกมา วิธีการนี้ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมทั้งในแถบยุโรปและเอเซีย มีการพัฒนาตัวยาฉีดหลากหลายสูตร สำหรับเซลลูไลท์แต่ละประเภท เป็นวิธีที่เห็นผลค่อนข้างเร็วเหมาะสำหรับสาวใจร้อน อยากเพรียวกระชับ ในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉลี่ยพบว่าสามารถลดเซลลูไลท์ หรือไขมันส่วนเกินที่พุง ได้มากกว่า 1/4 นิ้ว ต่ออาทิตย์ วิธีนี้ไม่ใช่การศัลยกรรมจึงไม่เจ็บปวด อาจมีจุดแดง อาการคัน เกิดขึ้นหลังจากการทำในวันที่ 1-3 แต่ควรทำซ้ำต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงต้นของการรักษา เพื่อผลการรักษาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอาหารเสริมใดๆ ที่อ้างว่าสามารถรักษาเซลลูไลต์ได้ผลนั้น ยังไม่มีข้อพิสูจน์ด้วยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ว่าจริงดังกล่าวอ้าง แม้แต่การใช้สายพาน เขย่าสั่นก้นและต้นขา ก็ไม่ลดก้อนไขมันนี้ เพราะไม่เกิดการเผาผลาญไขมันได้จริง ถ้าในความเห็นของผู้เขียนคิดว่า วิธีการรักษาก้อนไขมันเซลลูไลต์ที่ได้ผลดีและสิ้นเปลืองน้อยที่สุด คือ การควบคุมอาหาร ลดน้ำหนักและออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นอันดับแรกก่อน ถ้าได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ จึงค่อยทำการด้วยวิธีอื่นๆ เพราะ เซลลูไลท์ต้องใช้เวลาในการกำจัดเพราะกว่าจะสลายตัว และกลับมาสู่กระบวนการขับของเสียออกจากร่างกายได้อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยแต่จะอย่าเพิ่งถอดใจเสียก่อนที่จะสำเร็จนะครับ ไม่เช่นนั้นความพยายามตั้งแต่แรกจะเสียเปล่า
Photobucket

อนุมูลอิสระคืออะไร

Photobucketอนุมูลอิสระ ( Free Radicle ) คือ โมเลกุลที่มีธาตุที่ไม่มั่นคงเนื่องจากขาด อิเลกตรอน ไป 1ตัวปกติแร่ธาตุทั้งหลายในร่างกายของเราจะมีอีเลกตรอนอยู่วงรอบเป็นจำนวนคุ่ ซึ่งทำให้โมเลกุลนั้นคงตัวในกรณีที่มีการสูญเสีย อิเลกตรอน หรือรับ อิเลกตรอน มาอีกเพียง 1 ตัวจะทำให้โมเลกุลนั้นไม่มั่นคง กลายเป็นตัวอันตรายและตัวเจ้าปัญหาคือพอเจอใครเขาดีๆก็แย่ง อิเลกตรอน มาจากเขาแทน
1 ตัวผู้ถูกแย่งก็กลายเป็นตัวเจ้าปัญหาแทนเพราะตนไม่มั่นคง ต้องไปแย่งคนอื่นมาเป็นทอดๆ ยกเวันตัวที่ไม่มั่นคง
2 ตัวมาเจอกันก็จะรวมกันกลายเป็นมั่นคงก็หมดเรื่องไปตัวอย่างของ อนุมูลอิสระ ได้แก่O2- Superoxide anion อนุมูลซุปเปอร์ออกไซด์OH- Hydroxyl radicle อนุมูลไฮดรอกซิลROO Peroxy radicle อนุมูลเปอร์ออกซีH2O2 Hydrogen Peroxide ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์นอกจากนี้ก็ยังมีอีกมาก อนุมูลอิสระจึงเป็นสารพิษต่อเซลล์ร่างกาย ถ้ามีมากใน เซลล์ก็เป็นอันตรายได้โดยจะทำลาย ดีเอนเอ เยื่อหุ้มเซลล์ และอื่นๆ แต่เซลล์ร่างกายพวกเม็ดเลือดขาว ก็ใช้สารพวกนี้กำจัดแบคทีเรีย หลังจากที่เซลล์กินแบคทีเรียเข้าไปในตัวแล้วอนุมูลอิสระเชื่อว่า มีผลต่อการอักเสบ และการทำลายเนื้อเยื่อในระยะสั้น ในระยะยาวอาจมีผลต่อ ความเสื่อมหรือการแก่ของเซลล์ และอาจเป็นสารการก่อมะเร็ง และโรคหัวใจ ต้อกระจกอนุมูลอิสระ มีที่มาทั้งแหล่งภายนอกร่างกาย ได้แก่ มลพิษในอากาศ โอโซน ไนตรัสออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ฝุ่น ควันบุหรี่ อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ( แก้ได้โดยใส่วิตามิน อี ลงไปด้วย ) หรือธาตุเหล็กมากกว่าปกติ แสงแดด ความร้อน รังสีแกมม่า ยาบางชนิด เช่น Doxorubicin , Penicillamine, paracetamol, CCl4 เป็นต้น และแหล่งภายในร่างกายได้แก่ ออกซิเจน เป็นต้นร่างกายก็มีกลไกที่จะกำจัด อนุมูลอิสระ เหล่านี้โดย 2 วิธี คือ ใช้เอนไซม์ต่างๆในร่างกายเช่นSuperoxide dismultase ( SOD ) และไม่ใช้เอนไซม์ ได้แก่ วิตามิน อี ( a tocopherol เบตาคาโรทีน ( Betacarotene ) และ วิตามิน ซี เนื่องจากมีผู้สังเกตว่า เอนไซม์ต่างๆที่ใช้กำจัด อนุมูลอิสระ เช่น SOD มีได้จำกัด แต่สารที่เราสามารถทานเสริมได้แก่ วิตามิน อี วิตามิน ซี เบต้าคาโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือมีอีกชื่อว่า Antioxidant เนื่องจาก เบต้าคาโรทีนมีมากในผักและผลไม้บางชนิด จึงมีการสนับสนุนให้ทานสิ่งเหล่านี้เพิ่มมากชึ้น โดยมีความเชื่อว่าอาจลดการก่อมะเร็ง ลดการเป็นโรคหัวใจ ขาดเลือดและ โรคอื่นๆสำหรับ อาหารที่มีเบต้าคาโรทีนสูงได้แก่ ผักใบเขียว (เช่น ตำลึง และ ผักบุ้ง) อาหารที่มีสีเหลือง(เช่น มะละกอสุก มะม่วงสุก มะเขือเทศ ฟักทอง) อาหารที่ให้วิตามินซีสูง คือ พืช ผักสีเขียวและผลไม้รสเปรี้ยว เช่นตำลึง ผักบุ้ง พริกหยวก ส้ม มะนาว สัปปะรด เป็นต้นส่วนวิตามิน อี มีในน้ำมันพืชต่างๆรายงานที่บอกว่าการทานผักและผลไม้ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมีมากมายซึ่งคิดว่ากลไกทั้งด้านที่ผักและผลไม้มีสารกากใยมากซึ่งจะช่วยทางด้านลดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้กลไกทางด้านต้านอนุมูลอิสระก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ตัวอย่างรายงานเหล่านี้มีมากเช่น ผักและผลไม้ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหารได้ ถึง 5.5 เท่าซึ่งรายงานนี้ก็เป็นรายงานใหญ่ในการศึกษาแบบติดตามคนไข้ถึง 11,546 คนเป็นเวลาถึง 25 ปี ผักและผลไม้ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด ก็มีรายงานเช่นกัน บางรายงานตรวจสอบชัดลงไปได้ถึงชนิดของผักด้วยเช่นพบว่า ผักที่มีสีเหลืองเช่น แครอท มันฝรั่ง พบว่าลดมะเร็งของปอดได้มากกว่าผักชนิดอื่นเป็นต้นนอกจากนี้มีรายงานใหญ่ที่ติดตามการเป็นมะเร็งของประชากร 10,068 คน เป็นเวลาถึง 19 ปีในจำนวนนี้พบมะเร็งปอด 248 คน พบว่าการทานผักและผลไม้ที่มีวิตามิน เอ หรือ เบต้าคาโรทีนจะสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งปอดได้การทานผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีน วิตามิน ซี วิตามิน อีสูงสามารถที่จะลดอุบัติการการ เป็นมะเร็งเต้านมได้จริง ในสตรีวัยเจริญพันธ์ จากการติดตาม คนไข้ 83.234 คน เป็นเวลา 14 ปีสำหรับมะเร็งชนิดอื่นเช่นมะเร็งต่อมลูกหมากพบว่าการทานผักและผลไม้ไม่ช่วยลดความเสี่ยงแต่อย่างใดแต่มะเร็งกระเพาะปัสสาวะลดความเสี่ยงได้ด้วยการทาน ผักประเภท บรอคเคอรี่ และหัวผักกาดนอกจากนี้ผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีนสูงก็มีผลต่อการลดอุบัติการของโรคหัวใจขาดเลือดได้จริง จากการวิจัยย้อนหลังในคนไข้ 4802 คนติดตามไป 4 ปี มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้พยายามศึกษาและรายงานผลของการทาน สารต้าน อนุมูลอิสระคือวิตามิน อี วิตามิน ซี และ เบต้าคาโรทีน โดยตรง ดูว่าจะลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่นมะเร็งต่างๆ โรคหัวใจ และโรคอื่นอีกหรือไม่ โดยมีทั้งรายงานที่สนับสนุนผลดีและรายงานที่บอกว่าไม่ได้ผลก็มีเช่นการทานวิตามิน เอ วิตามิน อี และ วิตามิน ซี โดยตรงก็สามารถลดความเสี่ยงมะเร็งได้เช่นกัน แต่ไม่มากนักและ การทานวิตามินตามินเหล่านี้ในปริมาณที่มากกว่าความต้องการของร่างกาย ในแต่ละวันกลับไม่ช่วยลดอุบัติการของการเป็นมะเร็งปอด การทานเบต้าคาโรทีน วันละ 30 มก.และ วิตามิน ซี 500 มก. เป็นเวลา 2 ปี ไม่มีผลป้องกันการเปลี่ยนแปลงเซลล์ปากมดลูกที่ผิดปกติไป สู่การเป็นเซลล์มะเร็ง แสดงว่าไม่มีผลดีทางด้านนี้ การทานสารต้านอนุมูลอิสระ คือ วิตามิน ซี วิตามิน อี ก็ยังไม่มีรายงานว่ายับยั้งโรคประสาทตาเสื่อมได้ จากการติดตามผู้ป่วย 21,120 คน เป็นเวลา 12.5 ปี จากการวิเคราะห์โดยรวบรวมเฉพาะการวิจัยที่ติดตามผลหรือมีการทดลองที่ชัดเจนพบว่ามีเพียงวิตามิน อี เท่านั้นที่อาจมีบทบาทในการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดและลดอัตราตาย ในโรคหัวใจได้ส่วน เบต้าคาโรทีน และ วิตามิน ซี ไม่มีดีผลที่ชัดเจน และผลดีนี้ไม่เกี่ยวกับกลไกทางด้านไขมันในเลือดและความดันโลหิตสำหรับ เบต้าคาโรทีนนั้นแม้จะพบว่า อาหารที่มีเบต้าคาโรทีนมีผลต่อการลดอุบัติการของโรคหัวใจ ขาดเลือดได้จริง แต่เมื่อให้สารสกัดเบต้าคาโรทีนโดยตรงต่อผู้ป่วยก็ยังไม่พบผลดีชัดเจนต่อโรคหัวใจสำหรับวิตามินซีมีเพียงการการวิจัยแบบวิเคราะห์ย้อนหลังที่พบว่าวิตามินซีอาจมีผลดี ต่อการลดความเสี่ยงโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ จากการค้นพบว่าวิตามิน อี อาจมีผลต่อการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือดโดยลดอัตราตายได้ ก็เริ่มมีการวิจัยโดยมีการทดลองที่มากขึ้นโดยทดลองในคนไข้ 2000 คนเป็นเวลาปีกว่า ก็พบว่าวิตามิน อี ลดอุบัติการของโรคหัวใจขาดเลือดจริง แต่ก็มีผลน้อยมาก และจากการทดลองในรายงานหลังก็พบว่า เบต้าคาโรทีนกลับไม่มีผลดีอันนี้กล่าวโดยสรุปแล้ว สารต้านอนุมูลอิสระน่าจะมีผลดีต่อร่างกายและอาจลดมะเร็งต่างๆ และลดอุบัติการโรคหัวใจขาดเลือดได้จริง แต่กลับพบว่าฤทธิ์เด่นชัดกลับอยู่ในรูปของผักสดและผลไม้มากกว่าสารสกัด หรือตัววิตามินโดยตรงดังนั้นการทานผักสดและผลไม้จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากและมีผลดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริง หวังว่าเรื่องนี้คงจะเป็นประโยชน์และทำให้เราทานผักและผลไม้กันมากๆ

Photobucket

สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

สารอาหารที่ดี = การป้องกันที่ดี
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การโภชนาการทำให้เรารู้ว่าอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
1. การได้รับโปรตีนจากถั่วเหลือง, เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ(จำพวกอกไก่) และ ปลาเป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมสร้างเซลล์ใหม่รวมถึงช่วยควบคุมความอยากอาหาร อีกทั้งยังบำรุงและป้องกันกล้ามเนื้อของคุณ
2. ผักผลไม้หลากสีหลากชนิดจะให้สารอาหารจากพืชที่ไม่สามารถหาจากที่อื่นได้และมีสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยป้องกันความเสื่อมของอวัยวะที่สำคัญในร่างกายคุณ
3. ใยอาหารจากผลไม้ผักและธัญพืชบางชนิดเป็นสิ่งจำเป็นในการคงสภาวะสมดุลของระบบลำไส้และช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
4. ไขมันจากน้ำมันปลาที่จับจากทะเลลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาเทราต์สามารถต่อสู้ภาวะอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นผลดีต่อไขข้อ, ผิวพรรณและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลักประกันสำหรับอาหารในชีวิตที่วุ่นวายในปัจจุบัน การทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนในทุกๆวันอาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เสมอ ดังนั้นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นตัวช่วยให้คุณแน่ใจว่าคุณได้รับวิตามิน, เกลือแร่และสารอาหารที่จำเป็นที่คุณไม่สามารถหาได้ครบถ้วนจากการทานอาหารประจำวันผลิตภัณฑ์เสริมสารอาหารการทานวิตามินหลากชนิดในทุกวันเป็นวิธีที่ทำให้คุณแน่ใจว่าได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และยังคงเป็นพื้นฐานหลักในการสร้างโปรแกรมสารอาหารส่วนบุคคล เพื่อให้สารอาหารของคุณอยู่ในระดับที่สูงและได้รับผลประโยชน์สูงสุดประชากรจำนวนมากไม่ได้รับสารอาหารตามระดับที่แนะนำในแต่ละวัน (RDA: Recommended Dietary Allowance)ค่า RDA คือค่าที่ตั้งไว้ในขั้นต่ำเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี ผู้ที่ชอบอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักจึงมักจะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอคุณสามารถยกระดับการบริโภควิตามิน และ เกลือแร่ให้อยู่ในระดับที่แนะนำโดยการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คุณควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพและเหมาะกับความต้องการส่วนตัวสารอาหารเพื่อร่างกายที่มีสุขภาพมีวิตามิน,เกลือแร่ และ สารอาหารอีกหลากหลายชนิดที่สามารถใช้บริโภคเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ใช้ข้อมูลนี้เพื่อให้ทราบว่าคุณสามารถหาวิตามินและเกลือแร่ที่ประโยชน์ได้จากอาหารชนิดใดและใช้พิจารณาว่าได้รับสารอาหารเหล่านี้จากอาหารประจำวันอย่างเพียงพอหรือไม่มาดูกันครับ

วิตามินเอ/เบต้าแครอทีน หน้าที่หลัก สายตา,เติบโต,ผิวพรรณ,ระบบภูมิคุ้มกัน
แหล่งอาหาร ผักโขม,ผักใบเขียว,แครอท,แคนตาลูป,บร็อคโคลี่,แอพริคอท,ซีเรียล และ นม
วิตามิน ดี หน้าที่หลัก สุขภาพกระดูก
แหล่งอาหาร นมและซีเรียล,ปลาซัลมอน,ปลาซาร์ดีน
วิตามิน อี หน้าที่หลัก บำรุงเซลล์สมอง,ต้านอนุมูลอิสระ
แหล่งอาหาร น้ำมันพืช,ถั่ว,เมล็ดพืช,ซีเรียล
วิตามิน เค หน้าที่หลัก ทำให้เลือดแข็งตัว
แหล่งอาหาร ผักใบเขียว,นม,ตับ
วิตามิน บีหนึ่ง (ไธอามิน) หน้าที่หลัก ช่วยดึงพลังงานจากอาหาร,ช่วยการทำงานของระบบประสาท
แหล่งอาหาร ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช,ถั่วแห้ง,เนื้อสัตว์
วิตามิน บีสอง(ริโบลาวิน) หน้าที่หลัก ช่วยดึงพลังงานสารอาหาร
แหล่งอาหาร นม,เห็ด,ผักขม,ตับ และ ธัญพืช
วิตามิน บีสาม(ไนอาซิน) หน้าที่หลัก ช่วยดึงพลังงานสารอาหาร
แหล่งอาหาร เห็ด,ปลา,ไก่,เนื้อวัว,ตับ,ถั่ว,ธัญพืช
วิตามิน บีหก หน้าที่หลัก ช่วยให้ร่างกายแปรรูปโปรตีน,เสริมสร้างระบบประสาทที่ดี
แหล่งอาหาร เนื้อสัตว์,ปลา,ผักโขม,บร็อคโคลี่,กล้วย,เมล็ดดอกทานตะวัน
กรดโฟลิค หน้าที่หลัก ป้องกันระบบทางพันธุกรรมและป้องกันภาวะผิดปกติในทารกแรกเิกิด
แหล่งอาหาร ผักใบเขียว,น้ำส้ม,เครื่องในสัตว์
วิตามิน บีสิบสอง หน้าที่หลัก ระบบประสาทที่ดี
แหล่งอาหาร อาหารที่ทำจากสัตว์(ไม่มีในพืช),ธัญพืชแปรรุปและอาหารแปรรูปอื่นๆ
วิตามิน ซี หน้าที่หลัก สร้างความแข็งแรงให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(คอลลาเจน),ต้านอนุมูลอิสระ
แหล่งอาหาร ผลไม้รสเปรี้ยว,สตรอเบอรี่,ผักใบเขียว,พริกหยวก,มะเขือเทศ
โปแตสเซียม หน้าที่หลัก ช่วยการทำงานของระบบประสาท
แหล่งอาหาร ผักโขม,พืชตระกูลผัก,กล้วย,ส้ม,มะเขือเทศ,แตง,ถั่วแห้งและธัญพืช
แคลเซียม หน้าที่หลัก สร้างระบบประสาทที่ดี,สุขภาพกระดูกและฟันที่แข็งแรง
แหล่งอาหาร นม,โยเกิร์ต,คอทเทจชีส,เต้าหู้,ผักใบเขียว,และ น้ำส้ม
ทองแดง หน้าที่หลัก ช่วยการเจริญเติบโต,ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
แหล่งอาหาร ตับ,ถั่ว,ธัญพืช
ธาตุเหล็ก หน้าที่หลัก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง, ระบบภูมิคุ้มกัน
แหล่งอาหาร เนื้อสัตว์,อาหารทะเล,ธัญพืช,บร็อคโคลี่,ถั่วลันเตา
แมกนีเซียม หน้าที่หลัก เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแกร่ง,ระบบประสาทและหัวใจ
แหล่งอาหาร ธัญพืช,ผักสีเขียว,ถั่ว,ช็อคโกแล็ต,ถั่วต่างๆ
ธาตเซเลเนียมุ หน้าที่หลัก ต้านอนุมูลอิสระ
แหล่งอาหาร เนื้อสัตว์,ไข่,ปลา,ธัญพืช
ธาตุสังกะสี หน้าที่หลัก การเจริญเติบโต,ระบบภูมิคุ้มกันและพัฒนาการของเด็ก
แหล่งอาหาร อาหารทะเล,เนื้อสัตว์,ผักสีเขียว,ธัญพืช
Photobucket

เส้นใยอาหาร(fiber)คืออะไร?

Photobucketเส้นใยอาหาร (Fiber) คืออะไร
ไฟเบอร์ หรือเส้นใยอาหาร ส่วนใหญ่เราจะได้จากส่วนโครงสร้างของพืช เช่น กิ่ง ก้าน เมล็ด เป็นส่วนที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้มีอีกชื่อหนึ่งว่าเซลลูโลส ซึ่งมีโครงสร้างประกอบไปด้วยโมเลกุลน้ำตาลมาต่อกันอย่างซับซ้อน Fiber จะไม่โดนย่อยด้วยกรดในกระเพาะอาหารและเอนไซม์ในลำไส้เล็ก มันจึงเป็นกากที่จะไปเบียดบังพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร เวลารับประทานเข้าไปจึงรู้สึกอิ่ม อีกทั้งมันเป็นสารที่ไม่ให้พลังงาน เมื่อรับประทานเข้าไปจึงไม่ก่อให้เกิดพลังงานส่วนเกิน แต่ในทางตรงข้ามมันกลับไปช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันและ คลอเลสเทอรอล อีกด้วย นอกจากนี้มันยังช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากโรค มะเร็ง ลดอัตราเสี่ยงจากไขมันอุดตันหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และเนื่องจากมันช่วยในเรื่องระบบการขับถ่ายให้ดีขึ้นนั่นเองมันจึงช่วยบรรเทาอาการ ท้องผูก ริดสีดวงทวาร ด้วย ไฟเบอร์แบ่งได้ 2 ชนิดคือ
1. ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้
เวลาละลายน้ำจะเห็นเป็นลักษณะเมือกๆ พบมากในผลไม้ ถั่ว ข้าวโอ๊ต เป็นต้น
2. ไฟเบอร์ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ
จะพบมากใน ข้าวซ้อมมือ รำข้าว ผักต่าง

ประโยชน์ของไฟเบอร์ต่อร่างกาย

ผลต่อ คลอเลสเทอรอล และ โรคหัวใจ
จากหลายๆการศึกษาวิจัยพบว่า ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้เท่านั้นที่สามารถช่วยลดปริมาณ คลอเลสเทอรอล ได้ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะรับประทานแทนยารักษาได้ และยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดเช่นกัน อย่างไรก็ตามไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด โรคหัวใจ

ผลต่อโรค เบาหวาน
นอกจากนี้ยังมีงานวิจับพบอีกว่าไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้จะช่วยในด้านการลดระดับน้ำตาลในเลือด จนสามารถช่วยลดการใช้ปริมาณอินซูลินในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และยังค้นพบอีกว่าคนที่รับประทานไฟเบอร์มากๆ จะช่วยลดโอกาสการเป็น เบาหวาน

ผลต่ออาการท้องผูก-มะเร็งลำไส้
การรับประทานไฟเบอร์ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ช่วยให้การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายมีการขับถ่ายดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก อีกทั้งยังช่วยลดการเก็บกักของเสียในร่างกาย ลดการหมักหมมของเสียในลำไส้ ลดโอกาสการดูดซับสารพิษจากของเสียเข้าสู่ร่างกาย และที่สำคัญมันช่วยลดโอกาสในการเกิดโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยเช่นกัน

ลดความอ้วน
เมื่อเรารับประทาน ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานเข้าไปในร่างกาย มันจะเข้าไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มได้นาน ช่วยลดความอยากอาหารลงไป เราสามารถลดพลังงานที่จะได้รับจากอาหารได้จึงส่งผลให้ ลดน้ำหนัก ได้

แหล่งอาหารที่จะได้รับไฟเบอร์
เราสามารถได้จากพวกธัญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ผลไม้ทั้งผล (ไม่ใช่น้ำผลไม้) ผลส้มแขก เมล็ดแมงลัก
Photobucket

Omega 3 สำคัญต่อชีวิตอย่างไร

ภาวะหัวใจวาย (HEART ATTACK) เป็นต้นเหตุสำคัญ ที่คร่าชีวิตชายหญิง โดยเกิดจากเส้นเลือด ที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน เนื่องจากมีแผ่นไขมันอุดตัน

ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1970 จนถึงปี ค.ศ.1980 นักวิจัยพยายามค้นคว้าหาหนทาง แก้ไขปัญหานี้ แล้วพบว่าชาวเอสกิโม ที่อาศัยอยู่บนเกาะกรีนแลนด์ แถบขั้วโลกเหนือ ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น จนน้ำแข็งจับ และมีอาชีพส่วนใหญ่เป็นชาวประมง มีวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์คือ รับประทานปลาเป็นอาหารหลัก นั้นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่ปัญหาการดื่มสุรามาก นักโบราณคดีด้านมนุษยศาสตร์ (Anthropologist) สันนิษฐานว่า ที่มนุษย์เรามีวิวัฒนาการ มาตามลำดับเป็นเวลาหลายพันปีนั้น ดำรงชีวิตอยู่ด้วย อาหารส่วนใหญ่ที่มีกรดไขมัน อันเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ กลุ่มกรดไขมัน ที่รวมเรียกชื่อว่า "โอเมก้า - 3" (Omega -3-fats) ซึ่งพบมากในปลา โดยเฉพาะปลาทะเลธัญพืช และเมล็ดพืช (Nut and seeds) บางชนิด รวมทั้งพืชผักใบเขียว ต่อมาเมื่อเวลาผ่านพ้นไป คนเรารับประทาน อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า - 3 น้อยลงจนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลายชนิด นับตั้งแต่โรคหัวใจวาย โรคครรภ์เป็นพิษ (Preclampsia) โรคไขข้ออักเสบชนิดรูห์มาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) รวมทั้งโรคอื่น ๆ อีกมาก แม้แต่โรคซึมเศร้า (Depression) และความก้าวร้าว

ร่างกายของเราต้องการกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty acid) ในการมีชีวิตอยู่ อย่างมีประสิทธิภาพ สองชนิด กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 นั้น เป็นหนึ่งในกลุ่มกรดไขมัน ที่ร่างกายมนุษย์ขาดไม่ได้ สารสำคัญที่อยู่ในกลุ่มโอเมก้า - 3 นี้แบ่งได้เป็นสองชนิดใหญ่ คือ ชนิดที่หนึ่งได้แก่พวก EPA และ DHA
(EPA ย่อมาจาก EICOSAPANTAENOIC ACID) (DHA ย่อมาจาก DOCOSAHEXANOIC ACID)
ซึ่งพบมากในปลาอ้วน ๆ ใต้ทะเลลึก เช่น ปลาซาลมอน และแม็คเคอเรล (SALMON AND MACKEREL ซึ่งมีไขมันที่เรียกว่า FISH OIL น้ำมันปลา (มิใช่น้ำมันตับปลา) จำนวนสูงกว่าปลาน้ำจืด ส่วนชนิดที่สองชื่อ กรดอัลฟาไลโนเลอิก (ALPHA - LINOLEIC ACID) ซึ่งเป็นกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 ซึ่งพบมากในอาหารพวกธัญพืช ร่างกายของเราสามารถเปลี่ยนแปลงกรดไขมันที่มีอยู่ในพืชตัวนั้น ให้เป็นกรด ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า คือ EPA และ DHA น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันตัวนี้สูง คือ Canola oil และ FAXSEED oil ส่วนพืชพวกข้าวโพด, ถั่วเหลือง, เมล็ดทานตะวัน และผลิตภัณฑ์ทางอาหาร ที่ทำจากพืชและน้ำมันพวกนี้ เช่น เนยเทียม ย่อมมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ตัวนี้อยู่มากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านโภชนาการเสนอแนะว่า ร่างกายคนเราควรได้รับ กรดไขมัน ทั้งสองชนิด ในสัดส่วนที่สมดุลกัน เช่น หนึ่งต่อหนึ่ง คือ มิใช่ว่า รับประทานกรดไขมัน ชนิดหนึ่ง สูงกว่าอีกชนิดหนึ่ง

กลไกการทำงานของกรดไขมันในร่างกายเรานั้นเชื่อกันว่า เกี่ยวข้องกับ การทำงานของ เซลล์ทุกชนิดของร่างกายโดยเฉพาะ DHA ซึ่งพบมากในน้ำนม และรกอั นเป็นแหล่งสำคัญ ของการผลิตฮอร์โมนสำหรับทารกในครรภ์นั้น มีความสำคัญในการเจริญเติบโต ของสมองของทารกเช่นเดียวกับเซลล์ชนิดอื่น ๆ ทุก ๆ วัน ร่างกายของคนเรา ผลิตสารกลุ่มหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติ คล้ายฮอร์โมน ชื่อ "EICOSANOIDS" สารกลุ่มนี้มี ส่วนเกี่ยวข้อง ในการควบคุม ระบบการแข็งตัวของเลือด การหดตัวของหลอดเลือด และการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ซึ่งเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อ ที่อยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และอยู่นอกกการบังคับด้วย เส้นประสาท ชนิดที่บังคับแขนขา คือ เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ ระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น กล้ามเนื้อของมดลูก นอกจากนี้ สารนี้ ยังจำเป็นในกรณีที่ ร่างกายเกิดการอักเสบ เพราะต่อสู้กับเชื้อโรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ ในการผลิตกลุ่มสารชื่อ EICOSANOIDS นี้ร่างกายต้องใช้วัตถุดิบ คือ ทั้งกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) และ กลุ่มโอเมก้า - 3 แต่ถ้าร่างกายได้รับกลุ่มโอเมก้า - 3 น้อยไป และมีกรดไลโนเลอิก เป็นสัดส่วนเกินพอดี เมื่อเทียบกับกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 แล้ว ร่างกายของเรา ย่อมมีปัญหา เกี่ยวกับลิ่มเลือดแข็งตัว ปวดท้องน้อยเวลามีประจำเดือน และข้ออักเสบ ดังกล่าว

เวลานี้ นักวิจัยยังไม่เสนอข้อตกลงที่แน่นอน ว่าคนเราควรได้รับสารกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า - 3 เป็นจำนวนเท่าใด เพื่อนแพทย์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่เขาซื้อปลาทะเล เช่น ซาลมอน มารับประทานทุกวันระดับโคเลสเตอรอล ที่สูงเกินปกติไปมากนั้น ได้ลดลงต่ำกว่าระดับเดิม จนอยู่ในขั้นปกติ ภายในเวลา 3 เดือนเท่านั้น แต่ทั้งนี้ต้องรวมทั้งการออกกำลังกายด้วย ส่วนปลาที่เขาซื้อมารับประทานนั้น เป็นปลาที่จับจากทะเล มิใช่ปลาเลี้ยง ดิฉันไม่ทราบว่า ปลาจากสองแหล่งนั้น มีจำนวนกรดไขมันโอเมก้า - 3 มากน้อยกว่ากัน จนคุ้มกับราคาปลา ราคาถูกแพงต่างกันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากรายงานที่ส่งเสริมการรับประทานปลาทะเล รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่สกัดมา ซึ่งวางขายตามหิ้งของร้านขายยา ซึ่งมีชื่อว่า "น้ำมันปลา" (Fish oil) นั้น มีมากมาย เป็นต้นว่า ในกลุ่มเด็ก 468 คนในทวีปออสเตรเลีย ซึ่งได้รับประทานปลาทะเล ที่อุดมด้วย กรดโอเมก้า - 3 อย่างน้อยหนึ่งครึ่งต่อสัปดาห์ เป็นกลุ่มที่เป็นโรคหอบหืดน้อยกว่า กลุ่มเด็กที่รับประทานปลาถึง 25 เปอร์เซ็นต์ (Medical Journal Australia Feb 5-1996) ที่เมืองซีแอตเติล สตรีจำนวน 324 คนที่รับประทานปลา โดยเฉพาะปลาซามอล ไม่ว่าในรูปอบหรือย่าง อย่างน้อยสองครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราการเกิดโรคข้ออักเสบ ชนิดรูห์มาตอยด์ต่ำลง ส่วนสตรีที่เกิดปัญหานี้ ถ้าได้รับน้ำมันปลา ในรูปผลิตภัณฑ์ เม็ดอาหารเสริม จะมีอาการอักเสบของข้อลดลง (Epidemiology May 1996)

สตรีที่ปวดท้องช่วงมีประจำเดือนมากเพราะมีการผลิตสารกลุ่ม EICOSANOIDS สูง จนทำให้เกิดมดลูกหดตัวอย่างมาก อาการเจ็บปวดจะลดลง เมื่อเธอรับประทาน น้ำมันปลาเป็นเวลาสองเดือน (ทดลองในกลุ่มสตรี 37 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนน้อย American Journal of OB-GYN April 1996 )
กลุ่มมารดาที่ตั้งครรภ์ ถ้ารับประทานอาหารที่มีกรดโอเมก้า - 3 จะเกิด ปัญหา ทางการตั้งครรภ์เป็นพิษต่ำลง (Epidemiology May 1995) ส่วนโรคลำไส้เล็กอักเสบเรื้อรัง และมะเร็งเต้านมนั้น การได้รับอาหาร กลุ่มกรดไขมันโอเมก้า - 3 ซึ่งมีพวก EPA และ DHA สูง ช่วยทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีอาการดีขึ้น และเกิดอาการกำเริบน้อยลง (New England Journal of Medicine June 13 1996) ส่วนเรื่องเกี่ยวกับหัวใจ กรดไขมันกลุ่มนี้ช่วยทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ มีกลไกการปั้มเข้าออก สารต่าง ๆ เช่น แคลเซียม, โซเดียมคลอไรด์และประจุไฟฟ้าอื่น ดำเนินไปอย่างปกติ เพื่อควบคุมการยืด และหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ด้วยเหตุนี้ถ้ากรดโอเมก้า - 3 ขาดหายไป การเต้นของหัวใจ ย่อมผิดปกติ เรียกว่า การเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่พบบ่อย และเกิดแทรกซ้อนหลังจากหัวใจวายดังปรากฏในการทดลองกับกลุ่มผู้ชาย 295 คน ที่เมืองซีแอตเติล ที่รับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จะมีอัตราการเกิด ภาวะหัวใจล้มเหลว เนื่องจากการเต้นหัวใจผิดจังหวะ เพียงครึ่งหนึ่งของกลุ่ม ที่ ไม่รับประทานอาหารแบบเดียวกัน ส่วนในประเทศอังกฤษ ผู้ชายจำนวน 883 คน ที่เคยมีอาการหัวใจวายแล้ว ดำรงชีวิตต่อมาเป็นเวลา 2 ปี โดยการรับประทานอาหาร กลุ่มที่มีไขมัน โคเลสเตอรอลต่ำ และรับประทานปลาทะเล ที่มีกรดไขมันพวกนี้ อยู่เป็นจำนวนมาก อย่างน้อยสองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ชายกลุ่มนี้มีอัตราตายลดลง 29 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ดูแลตนเองทางโภชนาการดังกล่าว (Lancet Sept 30 1989) ส่วนชายชาวฝรั่งเศส ที่เคยมีปัญหาเดียวกันจำนวน 289 คนนั้น มีอัตราตายจากโรคหัวใจลดลง ถึง 81 เปอร์เซ็นต์ใน 5 ปี ถ้ารับประทานอาหารดังกล่าว รวมทั้งพวกเนยเทียมที่ทำจาก Cainola oil (Lancet June 11 1994)

นอกจากนี้ เยื่อหุ้มเซลล์ในสมองมีส่วนประกอบที่เป็นสารกรด DHA ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้จิตแพทย์ Dr.Joseph R.Hibbeln แห่ง National Institute on Alcohol Abuse and Alcoholism เชื่อว่าถ้าปริมาณสารกรด DHAในเยื่อหุ้มเซลล์ของสมองต่ำลง ย่อมก่อให้เกิดปัญหาในการสื่อสารทางสมอง จนเกิดความผิดปกติทางด้านอารมณ์ โดยเฉพาะทางซึมเศร้า เพราะเขาเฝ้าติดตามดูในคนไข้ที่มีปัญหานี้ และนักศึกษาชาวญี่ปุ่น 22 คน ที่มีอาการเครียด ก้าวร้าว ในช่วงก่อนสอบ ถ้าได้รับอาหารเสริมที่มีกรดไขมันกลุ่มนี้แล้ว เขามีอาการก้าวร้าวลดลง

ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยที่สนับสนุนการรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า - 3 สูง ได้เสนอให้พยายามเลือกอาหารปลาชนิดต่าง ๆ (ที่ลงพิมพ์ในตาราง) เช่น ปลาซาลมอนอบขนาด 3 ออนซ์ ให้ EPA และ DHA ถึง 2 กรัม ซึ่งนับว่าเป็น 10 เท่า ของปริมาณโดยเฉลี่ยที่คนอเมริกันรับประทานในแต่ละวัน คือ น้อยกว่า หนึ่งในยี่สิบห้าของช้อนชา นอกจากนี้พวก Canola oil หรือ Flaxseed oil รวมทั้งเนยที่ทำจาก Canola oil ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทางสายกลางเท่านั้น ที่เป็นหลักอันควรปฏิบัติ ปัจจุบันนี้ยังไม่มีการเฝ้าศึกษาถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้น ในระยะยาว ถ้ารับประทานอาหารเสริม เช่น น้ำมันปลาที่ผลิตในรูปเม็ดแคปซูลเป็นจำนวนมาก และนอกจากนี้ การได้รับกรดไขมันตัวนี้อาจเป็นเหตุให้ร่างกายเพิ่มความต้องการวิตามินดี (E) สูงขึ้น ส่วนคนที่มีปัญหาทางด้านความดันโลหิตสูง ความผิดปกติทางการแข็งตัวของเลือด หรือคนที่ได้รับยาทำให้เลือดแข็งตัวยาก ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมเป็นแคปซูล ปริมาณอาหารเสริมชนิดนี้ที่เชื่อว่าเหมาะสมคือ จำนวน จำนวน EPA และ DHA ประมาณ 1 กรัม แต่ที่ดีแล้ว เราท่านควรรับประทานปลา (ทะเล) กันดีกว่า ตามคำแนะนำในบทความของ Holly Mc Cord และ Teresa Yeykal ในหนังสือ Prevention Health Magazine
Photobucket

กุญแจสำคัญไปสู่การมีสุขภาพที่ดี
1. หาสมดุลให้อาหาร

คุณต้องรับประทานอาหารที่ดีให้เพียงพอซึ่งประกอบไปด้วยผลไม้และผักหลากชนิด, โปรตีน, คาร์บอนไดออกไซด์ที่ดีและ ไขมันที่ดีเพียงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ อีกทั้งคุณยังต้องการวิตามิน, เกลือแร่ และ ไฟเบอร์จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเติมเต็มสารอาหารที่บกพร่องจากอาหารประจำวันเซลล์ของเราจึงมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้

2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้คุณรู้สึกดีและดูดีที่สุดหัวใจของคุณจะอยุ่ในสภาวะที่ดี และ ความเครียดจะลดลงอีกทั้งยังช่วยให้การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมและการรักษาน้ำหนักตัวไว้เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเดิม

3. ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ

ร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำถึงสองในสามส่วน ในแต่ละวันคุณจะสูญเสียน้ำไปถึงครึ่งลิตรถึงแม้คุณจะเสียเหงื่อเพียงเล็กน้อยก็ตาม คุณก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้วเพื่อให้ร่างกายคุณสมดุลและคุณจะมีความรู้สึกดีที่สุดภยันตรายจากสารอาหารที่ไม่พอเพียงมีความเสี่ยงมากมายที่พ่วงมากับการได้รับสารอาหารที่ไม่พอเพียงสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อได้บ่อยกว่าเดิมโรคกระดูกพรุนกล้ามเนื้อที่อ่อนแอและผิวพรรณไม่สดใสนำไปสุ่การชราภาพก่อนวัยไม่ว่าในขณะนี้คุณจะมีน้ำหนักตัวอย่างไร รายได้มากน้อยเพียงใด หรือสุขภาพเป็นอย่างไรก็ตามคุณอาจจะไม่ได้รับสารอาหารที่พอเพียง ถ้าหากอาหารของคุณปราศจากความหลากหลาย และคุณภาพที่ดี หากคุณได้รับสารอาหารที่สมดุลและเปี่ยมด้วยคุณค่าทางสารอาหารก็จะช่วยให้คุณดูดีและรู้สึกดีจากภายในสู่ภายนอก

ทานข้าวแล้วทำให้คุณอ้วนจริงอย่างที่คุณคิดหรือเปล่า??

ทานข้าวแล้วทำให้คุณอ้วนจริงอย่างที่คุณคิดหรือเปล่าเพราะผู้หญิงเริ่มหันมาสนใจดูแลเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่ใช้ควบคุมน้ำหนักคือ งดกินอาหารจำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง บะหมี่ พาสต้า ถั่วอบแห้ง และผักที่ให้สารอาหารจำพวกแป้ง มันฝรั่ง ข้าวโพด และ ฟักทอง หรือแม้แต่พวกผลไม้และผลิตภัณฑ์จากนมที่มี ฟรุคโตส และแลคโตสถ้าคุณยากควบคุมน้ำหนักต้องงดอาหารจำพวกแป้งหรืออาหารที่มีรสหวานเพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้คุณมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาหารลดน้ำหนักส่วนใหญ่แนะนำให้กินอาหารประเภทโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ได้มากเท่าที่อยากกิน แต่ห้ามกินพวกคาร์โบไฮเดรต เพราะการกินอาหารที่ให้โปรตีนสูงจะช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าการกินอาหารที่มีอัตราไขมันต่ำคุณทราบหรือไม่ว่าการกินอาหารที่เน้นโปรตีน หรือมีไขมันต่ำ ต่างก็ให้การควบคุมน้ำหนักเหมือนกัน กินอาหารพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตก็จะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย เพราะร่างกายจะขาดวิตามินบี ซึ่งจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานช้าลงถ้างดกินผลไม้ หรือผักที่ให้สารอาหารประเภทแป้ง จะทำให้ร่างกายขาดใยอาหาร วิตามิน เอ ซี และ อี ซึ่งก่อให้เกิดอาการท้องผูก การมองเห็นตอนกลางคืนไม่ชัด ภูมิต้านทานต่ำ และอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ถ้างดดื่มนมเมื่ออายุมากขึ้นจะทำให้กระดูกพรุน เพราะร่างกายขาดแคลเซียม การจำกัดอาหารประเภทแป้ง จะมีผลเสียที่ตามมาคือทำให้คุณหันไปกินอาหารจำพวกไขมัน โปรตีน และเกลือมากขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อสุขภาพทำให้ระดับโคเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้น โรคไต และความดันโลหิตสูง ใครที่คิดว่ากำลังจะลดน้ำหนักหรือควบคุมอาหารไม่ควรมุ่งลดอาหารจำพวกแป้ง เพราะคาร์โบไฮเดรตไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่กลับเป็นพวกไขมันกับน้ำตาลมากกว่าที่เป็นตัวการสำคัญ คุณควรเลือกกินอาหารที่มีคุณค่าและปริมาณอาหารในแต่ละวันอย่างเพียงพอ.....-ทานวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย-อาหารประเภทโปรตีนควรทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันไม่มาก-หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานและไขมันมากถ้าคุณสามารถทำตามขั้นตอนข้างต้นได้รับรองความอ้วนจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ.....
****แล้วคุณคิดว่าได้รับสารอาหารเพียงพอหรือยัง****

Photobucket