ฝากประวัติ โพสรับสมัครงานฟรีๆ คลิกเลย!!

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การดูแลน้องน้อย (ที่ไม่เล็กน้อยอย่างที่คิด)

การดูแลจุดสงวนของผู้หญิงอย่างเราๆ หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องง่าย อาบน้ำยังไงก็อาบจุดนั้นได้เหมือนกัน
ก็แค่ล้างน้ำ-ฟอกสบู่จะมีอะไรพิเศษนักหนา โอย ขอบอกนะคะคุณขา ว่าการปล่อยปะละเลยในเรื่องเล็กๆแค่นี้ อาจจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ อย่าง การติดเชื้อ หรือโรคมะเร็งตามมาติดๆ ก็ได้
Photobucket
วันนี้เราเลยมีวิธีการดูแลน้องน้อยของคุณให้ปลอดเชื้อ ปลอดภัย มาฝากกันค่ะ ล้าง ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฉพาะจุดมากมายหลายยี่ห้อจนเลือกใช้ไม่หวาดไม่ไหว แต่ในความเป็นจริงแล้วเพียงแค่ล้างน้องน้อยของคุณด้วยน้ำสะอาดแค่นั้นก็เพียงพอ นอกจากจะเกิดกรณีที่จุดนั้นอับชื้น เหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ก็ควรหันมาพึ่งพาสบู่เหลวอนามัยชนิดที่ไม่ผสมน้ำหอมและแอลกอฮอล์ ส่วนการชะล้างด้วยสายฉีดชำระหรือฝักบัว ให้ฉีดจากบนลงล่าง อย่าฉีดสวนขึ้น เพราะหากน้ำที่ใช้ไม่สะอาดพอแล้วละก็อาจทำให้เกิดอาการช่องคลอดระคายเคืองตามมา สวน สาวๆหลายคนอยากให้จุดนั้นสวยปิ๊งทั้งนอกและใน คิดใช้น้ำยาฆ่าเชื้อสวนล้างช่องคลอดเพื่อความสะอาดเนี้ยบ ความคิดนี้นอกจากจะผิดมหันต์แล้วยังอาจทำให้เกิดอันตรายตามมาไม่รู้ตัว เพราะน้องน้อยของคุณน่ะมีแบคทีเรียชนิดเป็นมิตรที่ชื่อ แลคโตแบซิลไล รักษาความปลอดภัยให้อยู่แล้ว หากคุณสวนล้างช่องคลอดด้วยยาฆ่าเชื้อก็เท่ากับฆ่า ร.ป.ภ. ของตัวเอง คราวนี้ผู้ร้ายตัวจริงก็เริงร่า หนูจุ๋มจิ๋มติดเชื้อราคันคะเยอ เช็ด หลังจากอาบน้ำให้น้องแล้ว ควรใช้ผ้าเช็ดตัวผ้าฝ้ายที่แห้งสะอาดมาซับน้องน้อยให้แห้ง ไม่ควรเช็ดหรือถูเพราะจะทำให้จุดบอบบางเกิดแผลถลอกและระคายเคือง แป้ง แม้การทาแป้งที่ผิวกายจะทำให้รู้สึกแห้งสบาย แต่กับจุดสงวนกลับให้ผลตรงกันข้าม เพราะแป้งอาจเกาะติดเป็นก้อนกับขนอ่อนจนน้องน้อยไม่สะอาด หนำซ้ำยังมีผลวิจัยคอนเฟิร์มอีกว่าแป้งอาจจะถูกดูดเข้าไปภายในช่องคลอด ถึงโพรงมดลูก ท่อนำไข่ และไปตกลงบนรังไข่ ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่มากกว่าคนที่ไม่ได้ทาแป้งซะอีก

น่ากลัวที่สุด! เสื้อของน้อง ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายจะช่วยดูแลน้องน้อยของคุณได้ดีที่สุด เพราะสวมใส่แล้วโปร่งสบาย อากาศถ่ายเท และไม่ทำให้ส่วนนั้นอับชื้น อีกทั้งไม่ควรสวมชุดชั้นในที่รัดแน่นเกินไปด้วย กระซิบบอกนิดนึงว่าตอนนอนน่ะ ปล่อยให้น้องน้อยได้หายใจหายคอด้วยการ No Underwear ก็ได้นะ ไม่ใช้ว่าอยากให้แอบเซ็กซี่ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการอับชื้นจนอาจเกิดเชื้อราต่างหาก วันนั้นของเดือน ช่วงที่มีประจำเดือนถือเป็นช่วงที่น้องน้อยของคุณอ่อนแอ จึงต้องดูแลรักษาความสะอาดเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่การเลือกผ้าอนามัย ผ้าอนามัยที่แบ่งบรรจุเป็นชิ้นๆ นอกจากจะสะดวกต่อการพกพาแล้ว ยังสะอาดและป้องกันการปนเปื้อนได้ดี โดยเฉพาะกับผ้าอนามัยชนิดสอด หากไม่สะอาดและมีเชื้อราหรือแบคทีเรียมาเป็นแขกไม่ได้รับเชิญแล้วล่ะก็

เลือดประจำเดือนก็จะกลายเป็นอาหารชั้นดีแก่เหล่าแบคทีเรีย ทำให้น้องน้อยอักเสบและเกิดโรคภายในตามมา อย่าลืมเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ และไม่ปล่อยให้เลือดประจำเดือนชุ่มแผ่นผ้าอนามัย เพราะนอกจากคุณจะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัวแล้ว เลือดประจำเดือนที่เปื้อนอาจทำให้ผิวหนังที่บอบบางของน้องน้อยระคายเคือง ซึ่งหากเกิดอาการนั้น ครีมสเตียรอยด์อ่อนๆ ประเภท TRIAMCINOLONE ขนาดความเข้มข้น 0.1% จะช่วยแก้ปัญหาได้ แม้จะเป็นวันแดงเดือด แต่การทำความสะอาดส่วนสงวนด้วยน้ำสะอาดก็ยังถือเป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุด และหากมีคราบเลือดประจำเดือนเกาะหรือเปื้อนบริเวณนั้น น้ำอุ่นและสบู่จะเป็นตัวช่วยที่ดี แต่ห้ามฉีดน้ำสวนล้างภายในช่องคลอดเด็ดขาด เพราะช่วงที่มีประจำเดือนปากมดลูกจะเปิด ทำให้เสี่ยงที่น้ำจะไหลย้อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูกทำให้เกิดอาการอักเสบตามมา วันแห่งความสุขสม หากเขาทิ้งคราบรักไว้บนน้องน้อยหลังจากความสุขสม คุณควรใช้น้ำอุ่นและสบู่เหลวอนามัยช่วยในการทำความสะอาด เพราะจะช่วยให้คราบรักของเขาหลุดออกได้โดยง่ายและไม่จับตัวเป็นก้อน

อาหารต้านมะเร็ง

คนที่เป็นมะเร็งควรได้วิตามินมากๆ จากผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ หรือล้างสะอาดแล้วก่อนกิน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้าไปรุกรานร่างกายซ้ำซ้อนขณะที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่
เราล้วนทราบกันอยู่แล้วว่าอาหารที่เรากินเข้าไปแต่ละวันเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของคนเรามีพลังในการต่อสู้ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่กำลังรักษาตัวจากมะเร็ง วิธีการรักษาแผนปัจจุบันอย่างเช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด มักจะส่งผลข้างเคียงให้ร่างกายอ่อนแอลงกว่าปกติหลายเท่า ส่วนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมร่างกายรวมทั้งภูมิคุ้มกันต่างๆ จึงยิ่งต้องทำงานหนักทวีคูณ การดูแลเรื่องอาหารการกินให้เหมาะสม จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายเยียวยาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Photobucket
เมื่อร่างกายเรากำลังอ่อนแอ มันจึงต้องการพลังงานทดแทนเพื่อนำมาใช้ในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและขับเคลื่อนชีวิต ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารที่ให้พลังงานอย่างเพียงพอตามที่ธรรมชาติของร่างกายจำเป็นต้องได้รับ

จากคำแนะนำชองคณะแพทย์จาก The Cleveland Clinic Urological Institute ได้ระบุไว้ว่าคนเป็นมะเร็งควรจะได้รับพลังงานประมาณ 33 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ต่อวัน เช่น หากน้ำหนักตัวปกติอยู่ที่ 50 กก. ก็จะต้องการพลังงานประมาณ 1,650 แคลอรีต่อวัน แต่หากน้ำหนักลดลงมากก็ควรกินอาหารที่ให้พลังงานเพิ่มอีกประมาณวันละ 500 แคลอรี

แพทย์มักจะแนะนำให้คนที่กำลังรักษามะเร็งกินอาหารที่มีโปรตีนสูงๆ (ประมาณวันละ 1.1- 1.32 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.) เพื่อสร้างเสริมและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในขณะที่บางแนวความคิดในการรักษามะเร็งก็ได้ระบุว่าบรรดาเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดง ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ยกเว้นเนย ซึ่งอุดมด้วยโปรตีนและไขมันอาจจะมีส่วนช่วยเร่งความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวและกินให้ได้โปรตีนและพลังงานสูงเต็มที่จึงแนะนำให้คนที่เป็นมะเร็งหันมาเน้นกินอาหารที่ปรุงจากถั่วหรือเมล็ดพืชต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ ทดแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งยังช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายด้วย

สารอาหารที่เป็นประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่งคือวิตามินอย่างที่ ศ.นพ.ม.ร.ว.ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์ เคยเขียนไว้ใน "ยุทธศาสตร์ศึกมะเร็ง ว่าวิตามินเป็นสารอาหารที่ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการควบคุมกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยเปลี่ยนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน เป็นตัวเร่งให้สมรรถภาพทางกายทำงานเต็มที่ ช่วยการเติบโต สร้างพลังชีวิต และทำให้แก่ช้า เราได้วิตามินจากอาหาร เพราะร่างกายผลิตวิตามินเองไม่ได้ แถมบางชนิดไม่สามารถเก็บไว้ใช้นานๆ โดยเฉพาะวิตามินพวกที่ละลายในน้ำได้ (วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ และวิตามินซี) ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำมัน (เอ ดี อี เค) อาจเก็บสะสมไว้ได้บ้าง ถ้าร่างกายขาดวิตามินแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม ทำให้เซลล์ค่อยๆ เสื่อมลงซึ่งหากไม่ได้พลังเสริมในที่สุดแล้วเซลล์ก็จะตาย

นอกจากนี้ในผักและผลไม้ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เช่น ผักใบเขียว เหลือง-แดง จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระจึงทำให้ชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งธาตุเหล็ก โดยควรรับประทานผัก หรือผลไม้หลากหลายชนิดผสมผสานกันไป เพื่อให้ได้สารอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในผักแต่ละชนิดมารวมๆ กัน ไม่ใช่มีบางอย่างมากไปหรือน้อยไป

วิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุด สามารถปราบอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งได้ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน เมื่อตกถึงลำไส้ก็ดูดซึมไปใช้ได้ทันทีโดยอาศัยน้ำดี วิตามินเอเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์น้ำเหลืองจากต่อมไทมัส(ทีเซลล์)ที่เป็นตัวพิฆาตมะเร็ง นอกจากนี้วิตามินเอยังช่วยเสริมผิวหนัง และเยื่อบุผิว ของทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ฯลฯ ให้แข็งแรง ตามสถิติการเกิดมะเร็งพบว่ามะเร็งชอบเป็นกับเซลล์เยื่อบุผิวเหล่านี้ ซึ่งวิตามิน เอ เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้การเจริญของเซลล์เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ควรรับประทานผักใบเขียว เนื้อปลา เนื้อไก่เพื่อให้ได้รับวิตามินเอสู่ร่างกาย

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำได้ที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม ประกอบด้วย วิตามินบี-1 (ไทอะมีน) วิตามินบี-2 (ไรโบฟลาวิน) วิตามินบี-3 (ไนอาซิน หรือ กรดนิโคตินิคตินิค) วิตามินบี-6 (ไพริด็อกวิน) และ มีไบโอติน อินอสสิตอล กรดพาราอะโนมิค-เบนโซอิท (พาบา) วิตามินบี-12 (ไซอะโนบาลามีน) กรดแพนโตทีนิก และกรดโฟลิก เมื่อร่างกายได้รับวิตามินกลุ่มนี้จะไปช่วยบำรุงหัวใจ เร่ง และ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และบางตัวสามารถยับยั้งการขยายตัวของมะเร็งได้ มีมากในอาหารจำพวกถั่ว เนื้อปลา เนื้อเป็ดหรือไก่ต่างๆ

วิตามินซี เป็นวิตามินที่สำคัญมาก เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ คอยทำลายเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวหมาดๆ ได้ดีมาก เป็นตัวปกป้องดีเอนเอไม่ให้ถูกทำลาย และเป็นตัวกระตุ้นสารอินเตอเฟอรอนซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังระงับการเกิด สารไนโตรซามีนที่เป็นตัวก่อมะเร็งในกระเพาะอาหาร ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าวิตามินซีสามารถยับยั้งเอนไซม์ไฮอะลูโรนิเดส มีฤทธิ์ย่อยโปรตีน อันเป็นอาวุธร้ายของมะเร็ง ในการสลายแนวต้านทาน และแพร่กระจายไปรอบตัว มีมากในผลไม้หลายชนิดที่มีรสออกเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว รวมทั้ง ฝรั่ง สาลี่ แอปเปิ้ล

วิตามินอี ละลายในไขมันเหมือนวิตามินเอ เป็นสร้างต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง และเป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อใช้ผสมกับธาตุซีเลเนียม จะมีฤทธิ์เสริมกันในการต้านมะเร็ง นอกจากนั้นวิตามินอียังช่วยระงับการเกิดไนไตรซามีนในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งได้ เราได้รับวิตามินอีได้จากการกินผักใบเขียว น้ำมันปลา น้ำมันรำข้าว และไข่แร่ธาตุต่างๆ มีส่วนช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน ทำให้ร่างกายสามารถย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร และรักษาสมดุลของร่างกายให้มีภาวะเป็นด่างมากกว่าเป็นกรด แร่ธาตุที่คนเป็นมะเร็งควรได้รับที่สำคัญ ได้แก่ ทองแดง แมกนีเซียม สังกะสี ซีเลเนียมที่เมื่อใช้ร่วมกับวิตามินจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อต้านมะเร็ง และยังช่วยชะลอความชราได้

อย่างไรก็ตาม หากต้องการได้รับวิตามินเสริมนอกเหนือจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ควรให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ประจำตัวจะดีกว่า คุณอาจปรึกษานักโภชนาการเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดอาหารในแต่ละมื้อให้มีสารอาหารตามที่ร่างกายควรได้รับครบถ้วนและหลากหลาย และช่วยแก้ปัญหาถ้าหากระหว่างการรักษามะเร็งทำให้เกิดปัญหาผิดปกติในการกินอาหาร อย่างเช่น การที่รู้สึกอิ่มเร็วเกินควร กลืนลำบาก หรือการรับรสชาติที่เปลี่ยนไป รวมทั้งอาจแนะนำถึงอาหารเสริมอื่นๆ ที่ช่วยให้คุณได้รับพลังงานที่จำเป็นอย่างเพียงพอตามสมควร

ที่สำคัญนอกจากอาหารที่จะให้สารอาหารจำเป็นต่อการสู้รบกับมะเร็งแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณวันละครึ่งแกลลอน เพื่อช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำได้ ซึ่งนอกจากน้ำเปล่าแล้ว คุณอาจจะเลือกกินน้ำซุป ดื่มน้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง ก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน โดยเฉพาะหากใครที่มีอาการข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง อย่างเช่น อาเจียน ท้องเสีย ก็ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าทดแทนให้มากยิ่งขึ้น

มะเร็งปากมดลูก มะเร็งร้ายที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด!

มีสาวๆหลายคนที่คิดว่า โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นเรื่องที่ไกลตัว ยังงี้ต้องบอกเลยว่า คิดผิดถนัด
Photobucket
มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคมะเร็งที่พบมากในเพศหญิงวัย 40 ปีขึ้นไป หากประมวลสถิติจากทั่วโลกจะพบว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงติดอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม แต่สำหรับหญิงไทยน่าตกใจกว่า เพราะมะเร็งร้ายชนิดนี้เป็นอันดับแรกของสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิดเลยทีเดียว หากแต่ยังมีสาวๆหลายคนที่คิดว่า โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นเรื่องที่ไกลตัว ยังงี้ต้องบอกเลยว่า คิดผิดถนัด! สาเหตุการเกิด มะเร็งปากมดลูกเกิดได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด
มะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (human papilloma virus) ซึ่งติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ เมื่อได้รับเชื้อไวรัส HPV เชื้อชนิดนี้จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมภายในเซลล์ปากมดลูก จนกลไกการควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ถูกกระตุ้นขึ้น ตามมาด้วยการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์เนื้องอก ซึ่งไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไรก็สามารถเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ทั้งนั้น แต่ที่ส่วนใหญ่พบมะเร็งชนิดนี้ในหญิงสูงอายุ ก็เพราะกว่าเชื้อ HPV จะปรากฏอาการผิดปกติจนกระทั่งนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็ง อาจใช้เวลานานกว่า 5-10 ปี กลุ่มเสี่ยง หากคุณเข้าข่ายรายละเอียดด้านล่าง รู้ตัวไว้ว่าคุณเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกแล้วล่ะ
มีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย
อายุอยู่ในช่วง 30 - 50 ปี
มีคู่นอนหลายคน
สามีเที่ยวโสเภณี
มีประวัติเคยติดโรคทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อซิฟิลิส หนองใน เริม หูดหงอนไก่
สูบบุหรี่ หรือมีคู่นอนที่สูบบุหรี่
ไม่เคยตรวจภายใน

อาการ จะรู้ได้ยังไงว่าเรากำลังเป็นมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกระยะแรกจะยังไม่ปรากฏอาการใดๆเลย แต่ถ้าเข้าสู่ระยะลุกลาม จะมีอาการตกขาวมีกลิ่น มีลักษณะเป็นหนอง หรือมีลักษณะคล้ายน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด มีเลือดออกทางช่องคลอด ปัสสาวะลำบากหรืออาจปัสสาวะเป็นเลือด นอกจากนี้ ยังอาจลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ ด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ ปอด ตับ และกระดูก หรืออาจมีอาการร่างกายซีด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดประกอบด้วย ดังนั้นเมื่อมีอาการตกขาวผิดปกติ หรือเลือดออกภายหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรปรึกษาแพทย์ วิธีป้องกัน กันไว้ดีกว่าแก้ ก่อนมะเร็งลุกลามในเมื่อเราแทบไม่รู้ตัวเลยหากกำลังมะเร็งระยะแรก สาวๆจึงต้องรู้จักวิธีป้องกันและดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน งดสูบบุหรี่ สังเกตอาการผิดปกติและที่สำคัญก็คือการไปพบแพทย์เพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูกที่เรียกว่า การตรวจแป็ปสเมียร์ (Pap Smear) อย่างน้อยปีละครั้ง โดยสาวๆเวอร์จิ้นควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 30 ปี ส่วนผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วควรตรวจเป็นประจำ รู้จักกับ แป็ปสเมียร์ วิธีตรวจหาเซลล์มะเร็งที่ช่วยชีวิตคุณได้แป็ปสเมียร์ (Pap Smear) เป็นการตรวจภายในชนิดหนึ่ง ที่ใช้ไม้พายเล็กๆ ป้ายบริเวณปากมดลูก เพื่อนำเซลล์ไปตรวจหาความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็ง หรือที่เป็นมะเร็งระยะก่อนลุกลาม ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 5 นาที โดยเกิดความเจ็บปวดใด แต่เนื่องจากยังมีสาวๆ หลายคนที่อายหมอ จึงมีการเสริมวิธีตรวจที่เรียกว่า VIA (Visual Inspection with Acetic Acid) โดยใช้กรดน้ำส้มสายชูความเข้มข้น 3-5% ป้ายบริเวณปากมดลูกเพื่อดูว่าเนื้อเยื่อปากมดลูกมีความผิดปกติหรือไม่ หากเซลล์ผิดปกติจะเห็นว่าปากมดลูกเป็นฝ้าขาว ซึ่งวิธีนี้ให้ความแม่นยำสูงถึง 70% รักษามะเร็งปากมดลูก ยิ่งตรวจพบเร็ว รักษารวดเร็ว หนทางหายขาดก็มีสูงการรักษาความผิดปกติของมะเร็งปากมดลูกระยะแรก สามารถรักษาให้หายได้โดยการผ่าตัด(ซึ่งใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น) หรืออาจใช้เครื่องจี้เย็น เครื่องจี้ไฟฟ้า และการใช้เลเซอร์ ส่วนมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม ก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด การฉายรังสีและการให้ยาเคมีบำบัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค

ปัจจุบันในหลายประเทศได้อนุมัติให้จดทะเบียนใช้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก "Gardasil" ที่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 70 เปอร์เซ็นต์สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน แต่จะไม่มีผลใดๆ หากฉีดในขณะที่ติดเชื้อแล้ว คาดว่าในประเทศไทยจะเตรียมวางจำหน่ายวัคซีนนี้ในโรงพยาบาลราวกลางเดือน พ.ค

Diet ง่ายๆ สไตล์ญี่ปุ่น

สาวญี่ปุ่นมีเคล็ดลับอย่างไรในการรักษาทรวดทรงองค์เอว คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหารของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง

เคยสังเกตกันไหมว่า สาวญี่ปุ่นนอกจากจะคงความโนะเนะน่ารักของวัยใสไว้ได้จนกระทั่งเข้าวัยกลางคนแล้ว เธอยังคงทรวดทรงงดงามอ้อนแอ้นตามแบบหญิงเอเชีย ไม่อ้วนเผละไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หรือพกห่วงยางไว้ให้อุ่นใจยามเตร็ดเตร่แถวชายทะเลเหมือนสาวประเทศอื่นๆ พวกเธอมีเคล็ดลับอย่างไรในการรักษาทรวดทรงองค์เอวให้อ้อนแอ้นอรชรเหมือนสาวแรกรุ่นตลอดเวลากันแน่ คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหารของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง เคล็ดลับที่จะนำเสนอนั้น นอกจากจะ ใช้ได้กับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังปรับใช้ได้กับอาหารไทยอีกด้วย

*เริ่มจากการเลือกถ้วยชามชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้วยชามที่เหมาะสมกับการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือถ้วยชามที่มีสีออกแนวเอิร์ธโทนอย่างเช่น ขาว ดำ เทา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ความลงตัวของศิลปะในการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ

*นอกจากนั้น ถ้วยชามที่ใช้ควรมีขนาดเล็ก ไม่ควรใช้จานเปลใหญ่ในการตักอาหาร เพราะเป็นหลักจิตวิทยาว่า ถ้าคนเห็นอาหารเต็มชาม แม้ชามจะขนาดเล็กกว่าปกติ จะทำให้คนเราอิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรลดขนาดภาชนะบนโต๊ะอาหารลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากให้ฮิปโปโปเตมัสเข้าใจว่าคุณเป็นผู้ให้กำเนิด

*การใช้ตะเกียบพุ้ยข้าว จะทำให้คุณกินข้าวได้ช้าลง และปริมาณน้อยลง เนื่องจาก สมองรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณสิบนาที เมื่อคุณทานช้าลง ระยะเวลาสิบนาทีของการประสานงานระหว่างสมองกับร่างกายจึงไม่มากพอทีจะทำให้คุณ ยัดทะนานจนกระทั่งจุกนั่นเอง

*การกินอาหารหลากหลายประเภทพร้อมกับข้าว จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายของพลังงานจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานตลอดเวลา เพราะร่างกายจะคิดว่า มีอาหารชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรใช้ภาชนะขนาดเล็กตักกับข้าวหลากหลายเพื่อรับประทานในหนึ่งมื้อมากกว่าตักอาหารชนิดเดียวใส่ชามอ่าง แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่อ้วนไม่เหมือนกันแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Japanese Women Dont Get Old or Fat: Secrets of My Mothers Tokyo Kitchen โดย Naomi Moriyama

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กินอย่างไรให้น้ำหนักลด 1 : ความอ้วนมาจากไหน

ปากกับใจตรงกัน เมื่อไหร่ แล้วคุณไม่รู้จักยับยั้ง รับรอง ความอ้วน คงไม่หนีไปไกลจากตัวคุณแน่ ก็เพราะตามใจปาก ไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน น้ำหนักก็เลยขึ้นเอาๆ สุดท้ายก็เลยต้องศึกษาหาโปรแกรมการลดน้ำหนักมาปรับน้ำหนักตัวเองลง
Photobucket
ในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ มีทั้งสื่อที่เป็น วีดีโอ ซีดี วีซีดี หนังสือ สถาบันลดน้ำหนักซึ่งถ้าลองทำอย่างจริงจังตั้งใจแล้วรับรองว่าได้ผลแน่นอน อย่างเราเป็นประชาชนคนอ้วนธรรมดาๆ ถ้าคิดจะลดน้ำหนักก็ควรเลือกโปรแกรมการลดน้ำหนักที่เป็นตัวเองจริงๆ หรือถ้าต้องเสียค่าใช้จ่ายก็ควรจะเสียอย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ปลอดภัยได้ผลมากที่สุด ก่อนอื่นถามใจคุณดูก่อนว่าเอาแน่ไหม
ว่ากันว่าการลดน้ำหนักให้ได้ผลนั้น ต้องมีความตั้งใจจริง สำคัญที่สุด นิสัยคนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยเคร่งวินัยกับตัวเอง หวังพึ่งคนอื่นเสียมาก การลดน้ำหนักจึงเป็นงานท้าทายที่คุณจะต้องสร้างวินัยและเคร่งครัดกับตัวเอง ในการต่อสู้กับความเคยชินโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน
หัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักคือ การควบคุมอาหารให้ถูกวิธี ห้ามอดอาหาร แต่ให้ เลือก หรือจำกัดชนิดอาหารที่มีผลต่อน้ำหนัก เพิ่มการออกกำลังกายและต้องทำสม่ำเสมอ หากต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก ต้องใช้ตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
ในชีวิตจริงเราใช้เครื่องทุ่นแรงกันตลอดเวลา พลังงานจึงถูกใช้น้อย ส่วนที่เกินจึงสะสมไว้ในร่างกาย เวลาที่ร่างกายใช้พลังงาน ร่างกายจะเลือกว่าต้องใช้พลังงานจากน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นอาหารที่มาจากแป้ง น้ำตาล ที่กินเข้าไป หรือร่างกายจะนำไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ออกมาใช้เป็นพลังงาน ถ้าใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารเพิ่มเติมก็จะทำให้ร่างกายผอมลง ดังนั้นกิจกรรมต่างๆ ที่ทำควรมากกว่า 15 นาที เพื่อให้ร่างกาย มีการใช้ไขมันที่สะสมอยู่ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการลดน้ำหนัก แต่ถ้าคุณได้ออกกำลังเกินกว่า 30 นาที แต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็มีส่วนช่วยกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูงเป็นรายการแถมมาจากน้ำหนักที่ลดลง
การลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ในทางปฏิบัติอาจจะไม่ง่ายและไม่ทันใจ แต่วิธีลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและได้ผล คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินซึ่งให้ผลระยะยาว ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความเต็มใจที่จะเปลี่ยนนิสัยการกิน ควบคุมอาหาร การใช้พลังงานร่วมกับการออกกำลังกายด้วย
Photobucket
ความอ้วน มาจากไหน

จะเห็นว่าคนที่สามารถรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานปกติได้ มักจะเป็นผู้ที่มีการควบคุมพฤติกรรมการกิน และมีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แต่ผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มๆ ลดๆ ที่เรียกว่า โยโย นั้น หลังจากเลิกควบคุมอาหารแล้ว มักจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าลด เนื่องจากพยายามลดน้ำหนักแต่ทำได้ไม่สม่ำเสมอ ความจริงแล้วในช่วงแรกที่น้ำหนักลดส่วนใหญ่จะเป็นส่วนของน้ำในร่างกาย ระยะต่อมาถึงจะเป็นส่วนไขมัน ส่วนที่พลอยลดไปกับไขมันด้วยโดยไม่ตั้งใจคือกล้ามเนื้อซึ่งเป็นโปรตีน หลังจากนั้นน้ำหนักจะคงที่ หากไม่ปฏิบัติต่อจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นคือ ไขมันไม่ใช่โปรตีน การลดน้ำหนักที่ถูกต้องนั้นจึงต้องออกกำลังกายร่วมกับการควบคุมอาหาร เป็นการเพิ่มการป้องกันไม่ให้โปรตีนในกล้ามเนื้อลดลง การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อทำให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันมากกว่าพลังงานจากโปรตีนในกล้ามเนื้อ และเท่ากับเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายด้วย
อาหารที่ใช้ควบคุมน้ำหนัก ต้องการลดปริมาณไขมันลงซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหากคิดน้ำหนักของสารอาหารหลัก ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แล้วไขมันจะให้พลังงานมากเป็น 2 เท่าของอาหารประเภทโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต คือ ไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9 แคลอรีคาร์โบไฮเดรต1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี และโปรตีน 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรีเช่นกัน
พลังงานจากไขมันในอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันในร่ายกายได้ง่ายกว่าพลังงานจากโปรตีน และ คาร์โบไฮเดรต กรณีที่ร่างกายได้รับพลังงานเกิน ไม่ว่าจะเป็นอาหารไขมัน โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต พลังงาน 2 ส่วนที่เกินนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ตามหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก แต่ประสิทธิภาพการสะสมไขมันจาก อาหารไขมันนั้นมีมากกว่า ดังนั้นในบางคนการลดอาหารไขมันที่อยู่ในอาหารจะช่วยลดพลังงานลงได้โดยไม่จำเป็น ต้องลดปริมาณอาหาร ถ้าอาหารนั้นเป็นอาหารที่มีไขมันต่ำและมีเส้นใยอาหารสูงในแต่ละมื้อ
การลดปริมาณไขมันในอาหารไม่ง่ายนัก เพราะคนที่รับประทานอาหารประเภทไขมันมากมักจะชอบและ คุ้นเคยกับรสชาติ ฉะนั้น ในการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคจากที่เคยบริโภคอาหารที่มีไขมันมาก ๆ มาเป็นอาหารที่มี ไขมันน้อยลง น้อยลง จึงควรจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นวิธีที่จะได้ผลมากกว่าการที่จะงดไขมันทันที เนื่องจากต้อง อดทนใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับรสชาติที่ไม่คุ้นเคย

กินอย่างไรให้น้ำหนักลด 2 : กุญแจสำคัญในการลด

ลดปริมาณอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง แต่ละมื้อที่รับประทาน เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง

Photobucket

กุญแจสำคัญในการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง

*รับประทานอาหารครบทุกหมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่ โดยเลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ไม่ใช่งดอาหารหมู่ไขมันเลย เพราะวิตามินเอ ดี อี เค ยังต้องการน้ำมันช่วยในการดูดซึม

*หากทำการลดน้ำหนัก ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่สม่ำเสมอ อาจใช้เวลานานในกรณีที่ต้องลดน้ำหนักหลายกิโลกรัม ยกเว้นแพทย์จะเห็นสมควรให้ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ลองคำนวณพลังงานรวมของอาหารค่างๆ ที่กินลงไปในหนึ่งวันดูว่าคุณได้พลังงานเท่าไหร่จะช่วยกระตุ้นให้คุณลดอาหารลงเองโดยอัตโนมัติ

*อัตราการลดน้ำหนัก ประมาณ 0.5 ก.ก./สัปดาห์ การที่จะลดน้ำหนักให้ได้สัปดาห์ละ 0.5 ก.ก. นั้น จะต้อง รับประทานอาหารน้อยลงประมาณวันละ 500 แคลอรี่ คุณลองตัดรายการอาหารที่รับประทานอยู่ลงบ้างสิ

*ควรตั้งเป้าหมายน้ำหนักที่ต้องการจะลดอย่างเหมาะสม และมีการบันทึกน้ำหนัก สัดส่วนของร่างกายทุกสัปดาห์

*ควรมีการวางแผนการรักษาน้ำหนักตัวเมื่อการลดน้ำหนักสิ้นสุดลง นั่นคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อ รักษาน้ำหนักตัวไว้ในระยะยาว รวมถึงการควบคุมการกินอาหาร ซึ่งอาจต้องเพิ่มอาหารขึ้นเล็กน้อย เพื่อมิให้น้ำหนัก ลดลงมากกว่าที่ตั้งใจไว้

หลักการลดน้ำหนัก

1. ลดปริมาณอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง แต่ละมื้อที่รับประทาน เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง อาหารที่มีไขมันสูงหมายถึง อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน ไขมัน มาการีน เนื้อสัตว์ติดมัน-หนัง เนย กะทิ ซึ่งดูด้วยตาแล้วอาจบอกไม่ได้ว่าใช้น้ำมันมากหรือไม่ แต่ให้สังเกตลักษณะอาหารที่มีความมันวาวเนื้อสัมผัสนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง หรือบางอย่างจะกรอบ ตัวอย่างเช่น ผัดซีอิ้วใส่ไข่ ผัดไทย หอยทอด พาย คุกกี้ เป็นต้น ควรเลี่ยง

2. ระดับพลังงานไม่ควรต่ำเกินไป เพื่อให้ร่างกายยังคงได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ระดับพลังงานในการลดน้ำหนักที่ต่ำสุดและปลอดภัยใน 1 วัน คือ ต้องกินอาหารให้ได้พลังงาน 1200 แคลอรี่สำหรับผู้หญิง และ 1500 แคลอรี่สำหรับผู้ชาย อาหารสำหรับช่วงลดน้ำหนัก
ข้อแนะนำ
นม : เลือกนมพร่องไขมัน, นมไม่มีไขมัน, โยเกิร์ตรสจืด
เนื้อสัตว์ 1 ส่วน : หมายถึง เนื้อสัตว์ชิ้นขนาดกล่องไม่ขีดไฟ (เล็ก) หรือสับละเอียดขนาด 2 ช้อนโต๊ะ หรือ ลูกชิ้น 5 - 6 ลูก หรือหั่นบางๆ 5 - 6 ชิ้น หรือไข่ 1 ฟอง หรือกุ้งขนาด 2 นิ้ว 4 - 5 ตัว หรือปลาทู ½ ตัว
ข้าว 1 ส่วน : : สามารถเลือกกินขนมปัง 1 แผ่น หรือข้าวสุก 5 ช้อนโต๊ะ หรือข้าวต้ม 2 ทัพพี หรือขนมปังกรอบ 2 แผ่น
ผลไม้ 1 ส่วน : เช่น มะละกอสุก 8 ชิ้นเล็ก หรือมะม่วงดิบ 3 ชิ้นยาว หรือลูกตาล 3 ลอน หรือสับปะรด 8 ชิ้นเล็ก หรือฝรั่ง 1 ผลเล็ก หรือแอปเปิ้ล 1 ผลเล็ก
ผัก : ควรเลือกผักที่มีสีเขียวเข้ม สีแดง สีส้ม สีเหลือง
ไขมัน : ควรเลือกใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว หรือบางมื้ออาจใช้เนย ½ ก้อนเล็ก หรือหัวกะทิ 2 ช้อนกินข้าว แทนไขมัน 1 ช้อนชา

3. เพิ่มกิจกรรมของการใช้พลังงานของร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญของการลดน้ำหนัก โดยใช้หลักของ ความสมดุลในการกิน ถ้ากินมากใช้พลังงานมาก-น้ำหนักคงที่ ถ้ากินมากใช้พลังงานน้อย-น้ำหนักเพิ่ม ถ้ากินน้อยใช้พลังงานมาก-น้ำหนักลด นั่นคือความสำเร็จในการรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนได้ตลอดไป
Photobucket
ที่มา : Nutritional Aspects of Human Physical and Athletic Performance

กินอย่างไรให้น้ำหนักลด 3 : เทคนิคควบคุมน้ำหนัก

สำหรับการกินเพื่อลดน้ำหนักนั้น ลองมาดูเทคนิคขั้นสุดท้ายที่ช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพกันค่ะ
Photobucket

เทคนิคช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. กินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และเป็นเวลา ควรงดอาหารว่างระหว่างมื้อ ถ้าหิวให้ดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ให้พลังงาน เช่น น้ำเปล่า น้ำสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำใบเตย (ไม่ต้องเติมน้ำตาล) จะลดความรู้สึกหิวลงได้
2. ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้กินมากขึ้นในมื้อต่อไป
3. ปริมาณอาหารควรจัดให้สมดุลตลอดวัน ทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็น โดยเฉพาะควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงกลางคืน
4. ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ก็ให้พลังงานไม่น้อยเลยทีเดียว คือ 1 กรัมให้พลังงาน 7 แคลอรี่ และแอลกอฮอล์กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร แอลกอฮอล์ยังให้พลังงานเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้สารอาหารอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย
5. ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองในการดื่มเครื่องดื่มโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวาน เนื่องจากน้ำตาลกระตุ้นให้เกิดการรับประทานมาก เช่นเดียวกับสารที่ให้รสหวาน
6. ไม่ควรรีบกินอาหาร ควรเคี้ยวช้าๆ การกินเร็วจะทำให้กินอาหารมากเกินอัตรา
7. ควรคำนึงอยู่เสมอว่า การกินทุกครั้งไม่ใช่เพราะความอยากอาหาร แต่กินเพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้พลังงานและสารอาหารในการดำรงชีวิต อันก่อให้เกิดสุขภาพดี

Photobucket
ตัวอย่างเมนูอาหารใน 1 วัน เพื่อควบคุมน้ำหนัก
ลองเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย เมนูตัวอย่างนี้เพื่อให้คุณได้เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำมาแทนอาหารที่คุณกินอยู่ประจำที่อาจมีไขมันสูงกว่า

Photobucket
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินเป็นสิ่งยั่งยืนที่ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องของการกินอาหารควรต้องมีการยืดหยุ่นบ้าง เช่นหากมื้อใดกินมาก มื้อต่อไปต้องลดลง เพื่อให้เกิดความสมดุลของพลังงาน จะเลือกกินอะไรต้องใช้เหตุผลเหนือจิตใจ ค่อยทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน ต้องใช้ความอดทน กิจกรรมประจำวันต้องกระฉับกระเฉง และควรระลึกอยู่เสมอว่า ไม่มีอาหารหรือยาชนิดใดที่สามารถลดน้ำหนักของคุณลงได้ตลอดกาล และอย่าเชื่อในสิ่งที่เหลือเชื่อ ขอจงเชื่อมั่นในตัวเองเป็นดีที่สุด